"สำนักงาน กปร." เผย กว่า 4,800 "โครงการพระราชดำริ" พัฒนาแหล่งน้ำ-ดิน-ป่าไม้-การเกษตร-สร้างอาชีพ มีผลสัมฤทธิ์ปรากฏเป็นรูปธรรม สร้างความสมดุล ใช้เป็นต้นทุนพัฒนาคุณภาพชีวิต-อาชีพให้ประชาชนชาวไทย
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 64 สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ระบุว่า โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 4,800 โครงการ โดยมีสำนักงาน กปร.เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานกับส่วนงานที่เกี่ยวข้องในการสนองพระราชดำริ มีผลสัมฤทธิ์ปรากฏผลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ ดิน ป่าไม้ การเกษตร และอาชีพ เพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น และใช้เป็นต้นทุนในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และอาชีพของราษฎร
ตัวอย่างเช่น โครงการแกล้งดิน และการปลูกพืชแบบผสมผสาน ดังกรณีของ นายธีรพงศ์ ชาญแท้ เกษตรกรขยายผลศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นราธิวาส ซึ่งเดิมมีอาชีพทำงานก่อสร้าง หลังเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับโครงการแกล้งดินและการปลูกพืชแบบผสมผสาน จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ต่อมาจึงนำมาปฏิบัติใช้โดยปลูกข้าวสลับกับทำนาผักบุ้ง ทำให้มีข้าวกินเพียงพอตลอดทั้งปี ส่วนผักบุ้งเก็บขายเป็นรายได้ รายวัน วันละประมาณ 400 บาทต่อวัน พื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกผักและไม้ให้ผล เป็นรายได้รายเดือนและรายปี
โดย นายธีรพงศ์ กล่าวว่า "ดีกว่างานก่อสร้างที่ตนเคยทำ ซึ่งได้รายได้แค่วันละ 260 บาท ซึ่งตอนนี้ชีวิตดีขึ้น และที่ภูมิใจที่สุดคือได้เห็นหน้าลูกหน้าเมียทุกวัน แต่ถ้าไปทำงานก่อสร้าง ก็ต้องออกจากบ้าน 6 โมงเช้า ไปที่ตัวเมืองนราธิวาส บางทีไปที่ อ.สุไหงโก-ลก กว่าจะได้กลับเข้าบ้านก็หลัง 6 โมงเย็น"
...
ส่วนด้านโครงการเครือข่ายอ่างเก็บน้ำฯ สู่ปวงชนนั้น สำนักงาน กปร. ระบุว่า ปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำนับว่าเป็นปัญหาสำคัญ อ่างเก็บน้ำที่ได้ก่อสร้างขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ มีขนาดไม่เท่ากัน เล็กบ้างใหญ่บ้าง ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ และศักยภาพของปริมาณน้ำต้นทุนที่จะไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำ ประกอบกับประชากรที่เพิ่มขึ้น ความต้องการใช้น้ำย่อมเปลี่ยนไป จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้พอเพียงกับความต้องการ จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็ประสบปัญาหาเช่นเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงมีพระราชดำริ ในการพิจารณาวางโครงการ และก่อสร้างระบบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำ หรือแหล่งน้ำที่มีศักยภาพที่ดี และมีความเหมาะสมไปลงอ่างเก็บน้ำห้วยตะแปด จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารจัดการน้ำในลักษณะอ่างใหญ่เติมอ่างเล็ก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการเครือข่ายอ่างเก็บน้ำ (อ่างพวง) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่สามารถส่งน้ำไปช่วยเหลือโครงการต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง เช่น โครงการตามพระราชประสงค์หนองพลับ-กลัดหลวง โครงการปลูกป่าชัยพัฒนา-แม่ฟ้าหลวง โครงการจัดพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์หุบกะพง และโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แนวพระราชดำริในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนของโครงการเครือข่ายอ่างเก็บน้ำ (อ่างพวง) ได้ขยายผลเป็นแบบอย่างให้หลายพื้นที่ เพื่อนำน้ำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในยามขาดแคลนน้ำ และพร่องน้ำที่มีปริมาณน้ำมากไม่ให้ไหลทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ น้ำทุกหยดสามารถนำมาหล่อเลี้ยงชีวิตราษฎรตามพระราชประสงค์ต่อไป
ด้านการพัฒนาเกษตรกรรมภูมิคุ้มกันเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน สำนักงาน กปร. ระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าแนวพระราชดำริที่พระราชทานไว้ เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน รวมถึงหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็นคุณอนันต์ต่อการน้อมนำมาปฏิบัติใช้ ดังเช่น น.ส.ปราณี สังอ่อนดี เกษตรกรหมู่บ้านรอบศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านเกษตรผสมผสาน ต.บ้านส่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ฉะเชิงเทรา นำผลสำเร็จมาแก้ไขปัญหาในพื้นที่ดินทรายขาดความอุดมสมบูรณ์ ด้วยการปลูกหญ้าแฝกเพื่อลดการชะล้างของหน้าดิน อีกทั้งเป็นการปรับปรุงดินภายในคราวเดียวกัน รวมทั้งได้หันมาทำการเกษตรที่เหมาะสมถูกหลักวิชาการมาปฏิบัติใช้จนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน
โดย น.ส.ปราณี กล่าวว่า "คนไทยโชคดีมากที่มีในหลวงทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ที่ทรงห่วงใยประชาชน ทุกวันนี้ก็น้อมนำแนวพระราชดำริในหลวง รัชกาลที่ 9 มาปฏิบัติใช้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน และน้อมสำนึกถึงในหลวง รัชกาลที่ 10 ที่พระองค์ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด ทำให้บุคลากรที่ทำงานมีขวัญกำลังใจในการช่วยเหลือเกษตรกร"
...
ขณะที่ นายบัญชา ฉานุ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็ดและผักปลอดสารพิษ และประธานแปลงใหญ่ บ้านหนองหว้า ต.บ้านช่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ แนวทางที่ทางกลุ่มนำมาใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ โดยสมาชิกจะเข้าไปดูงานและรับการฝึกอบรมด้านอาชีพจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ แล้วนำมาปฏิบัติที่บ้าน จากเดิมที่ทุกคนปลูกมันสำปะหลังแบบพืชเชิงเดียว ทำให้มีปัญหาเรื่องป่าไม้และดินเสื่อมโทรม ตลอดถึงราคาผลผลิตที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง จึงหันมาปลูกพืชแบบหลากหลาย มีการรวมกลุ่มกันผลิตและทำการตลาด จนปัจจุบันสามารถพัฒนาขบวนการผลิตเป็นแปลงใหญ่ชุมชนเห็ดและผักปลอดสารพิษ
"ทำอย่างไรก็ได้ที่แบบพออยู่พอกิน ทำจากเล็กไปหาใหญ่ ไม่จำกัดว่าต้องทำตามตำราทั้งหมด ทำข้างบ้านหลายบ้านรวมกันผลผลิตก็มากพอที่จะส่งขายได้ ทุกวันนี้ในชุมชนจะเน้นทำการเกษตรที่คำนึงถึงสิ่งแวลล้อม ตามพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 มีความเอื้ออารีต่อกัน ทุกคนมีความปลื้มใจที่พระองค์ดูแลตลอดมา มีศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ทำให้ทุกคนมีอาชีพ มีหน่วยงานหลายๆ หน่วยงานเข้ามาทำให้ประชาชนสามารถเข้าไปเรียนรู้เรื่องการประกอบอาชีพตรงนั้นได้ ทำให้ชุมชนได้รับการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น ทุกคนมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อน เราต่างรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน และจะร่วมกันทำความดีเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติต่อไป" นายบัญชา กล่าว.