รมว.คมนาคม เซ็นประกาศกฎกระทรวง แอปฯเรียกรถกำหนดอัตราค่าบริกา ขบ.ออกประกาศลูก 4 ฉบับ กำหนดเกณฑ์แอปฯ เปิดยื่นขึ้นทะเบียนแอปฯ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป
เมื่อวันที่ 1 ต.ค.64 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงคมนาคม ได้มีกฎกระทรวงรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 23 มิถุนายน 2564 โดยกำหนดให้มีรถยนต์รับจ้างทางเลือกผ่านแอปพลิเคชันขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทาง เพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับประชาชน และเพื่อให้สามารถควบคุม กำกับ ดูแลการให้บริการในลักษณะดังกล่าว เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเป็นธรรม บัดนี้กระทรวงคมนาคมได้ออกประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร และค่าบริการอื่นสำหรับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2564 เมื่อ 29 กันยายน 2564 และกรมการขนส่งทางบกได้ออกอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องอีกจำนวน 4 ฉบับ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ประกอบด้วย
1) ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องกำหนดคุณลักษณะและระบบการทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์ และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรองระบบอิเล็กทรอนิกส์และผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2564
2)ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องกำหนดเครื่องหมายและการแสดงเครื่องหมายแสดงการเป็นรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2564
3) ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวัดกำลังของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้า และการวัดความสามารถในการขับเคลื่อนของรถที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า สำหรับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2564
4) ระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยการดำเนินการทางทะเบียนและภาษีสำหรับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2564
...
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า เนื่องจากกฎกระทรวงกำหนดให้ระบบที่ใช้สำหรับรับงานจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะต้องได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ก่อนนำไปให้บริการประชาชน ดังนั้นขั้นตอนถัดไป คือ การเปิดให้ผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ยื่นขอรับรองระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้สำหรับให้บริการรับส่งผู้โดยสาร ซึ่งสามารถยื่นขอรับรองตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป โดยกรมการขนส่งทางบกจะเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการพิจารณา ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาต่างๆ เช่น ระบบอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีความปลอดภัยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล แสดงอัตราค่าโดยสารล่วงหน้าที่ชัดเจนโดยละเอียด จะต้องรองรับการเรียกรถแท็กซี่มิเตอร์ในระบบ และให้ความสำคัญในลำดับแรก ส่งเสริมการใช้รถยนต์รับจ้างไฟฟ้า กำหนดให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการ จากผู้ขับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ไม่เกิน 25% กรณีแท็กซี่มิเตอร์จะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการจากผู้ขับรถ โดยผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์จะต้องมีความมั่นคง เป็นมืออาชีพ เปิดกว้างรองรับธุรกิจ Start-up ส่งเสริมธุรกิจดิจิทัล เป็นต้น
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า เมื่อผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบกแล้ว จึงจะสามารถเปิดรับสมัครผู้ที่ประสงค์จะประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้าง ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้าเป็นสมาชิกได้ ซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไขหนึ่งคนต่อรถหนึ่งคัน และผู้ขับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จะต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะที่ถูกต้อง ผ่านการสอบประวัติอาชญากรรม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รถยนต์ที่ใช้จะต้องเป็นของตนเอง มีอายุการใช้งานไม่เกิน 9 ปี มีหลักฐานการจัดให้มีประกันภัยและประกันภัยเพิ่มเติม ตามกฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยฯด้วยรถที่ขึ้นทะเบียนแล้ว จะได้รับเครื่องหมายรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับแสดงที่กระจกกันลมหน้าและกระจกกันลมด้านหลัง จึงจะสามารถออกให้บริการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย คาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 30 วัน คาดว่าเดือนพฤศจิกายนน่าจะเริ่มรถ ตามแอปพลิเคชันออกให้บริการ
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า การดำเนินการผลักดันการให้บริการทางเลือก โดยรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะก่อให้เกิดประโยชน์ในภาพรวม สามารถที่จะมีทางเลือกในการเดินทางเพิ่มเติม มีรถยนต์หลากหลายขนาดให้ใช้บริการ อีกทั้งประชาชนยังสามารถประกอบอาชีพเสริมในการขับรถยนต์รับจ้าง ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์สอดคล้องตามแนวทาง Sharing Economy กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่เดิมก็ได้รับประโยชน์ จากการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ถูกเรียกเก็บส่วนแบ่งค่าโดยสาร สามารถบริหารจัดการเส้นทางการให้บริการในแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งรายใหญ่และ Start-up สามารถเข้าสู่ระบบได้ถูกต้องตามกฎหมาย ภาครัฐสามารถควบคุมกำกับดูแลการให้บริการของระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้เป็นธรรมต่อทั้งฝ่ายผู้ขับรถและผู้โดยสาร ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาบริการรถสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ เกิดความปลอดภัย สร้างการเติบโตในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป