นับตั้งแต่วันที่มนุษย์มีการเชื่อมต่อกันมากขึ้นผ่านการค้าขาย ทำธุรกิจ รวมไปถึงการทูต สิ่งที่ตามมาพร้อมกันก็คือการรวมพลังจัด “มหกรรมระดับโลก” ซึ่งมีเป้าหมายทั้งในด้านกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความร่วมมือระหว่างคนในชาติ ตลอดจนเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศ เช่นที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างการแข่งขันฟุตบอลโลก หรือมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่เพิ่งผ่านพ้นไป

นอกจากสองรายการข้างต้นที่มุ่งเน้นการชิงชัยด้านศักยภาพทางร่างกายเป็นหลัก ยังมีอีกหนึ่งมหกรรมระดับโลก คืองาน “World Expo” ซึ่งเป็นการจัดแสดงนิทรรศการเชิงวัฒนธรรม และการแสดงศักยภาพของชาติที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ซึ่งงานนี้มีความพิเศษตรงที่ “ประเทศไทย” เป็นหนึ่งในชาติที่ได้รับการ “จับตามอง” จากความน่าประทับใจของ “อาคารแสดงประเทศไทย” ซึ่งเปี่ยมด้วยความงดงาม รวมทั้งการนำเสนอที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์มาโดยตลอด กลายเป็นความน่าสนใจไม่น้อยว่าในงาน "World Expo 2020” ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่กำลังจะอุบัติขึ้น ประเทศไทยมีไอเดียอะไรที่เตรียมไปนำเสนอแก่สายตาผู้มาเยือนจากนานาชาติ

เพื่อเตรียมต้อนรับมหกรรม World Expo 2020 Dubai ที่กำลังจะเบิกม่านในอีกไม่กี่วัน ไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “คุณอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย” ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม องค์กรหลักที่รับบทแม่งานในการจัดแสดงอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ในครั้งนี้ เพื่อเจาะลึกถึงเบื้องหลังแนวคิดในการออกแบบ รวมไปถึงไฮไลต์ต่างๆ ที่จะผลักดันให้อาคารจัดแสดงประเทศไทย บรรลุเป้าหมายติดสิบอันดับแรกที่มีผู้มาเยือนสูงสุดในงานครั้งนี้

ประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี สู่การเข้าร่วมเพื่อต่อยอดสู่อนาคต

ในเบื้องต้น คุณอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย เล่าให้เราฟังว่างาน World Expo คือมหกรรมระดับโลกที่จะถูกจัดขึ้นทุกๆ 5 ปี มีระยะเวลาในการจัดแสดงแต่ละครั้งอยู่ที่ราว 6 เดือนตั้งแต่ช่วงตุลาคมไปจนถึงเมษายน ซึ่งเหตุผลในความยิ่งใหญ่ของ World Expo ไม่ใช่เพียงเพราะการเป็นมหกรรมที่เกิดจากการร่วมมือของนานาประเทศทั่วโลก แต่ยังรวมไปถึงประวัติศาสตร์การจัดงานอันยาวนานต่อเนื่องกว่า 160 ปี ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็ได้เข้าไปมีส่วนรวมในมหกรรมนี้มาตั้งแต่ พ.ศ.2405 ซึ่งเป็นยุคสมัยของรัชกาลที่ 4 และนับจากนั้นก็ได้เข้าร่วมทุกครั้งจนเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของประเทศ สร้างความภาคภูมิใจและชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

แม้งาน World Expo 2020 Dubai จะถูกเลื่อนจากกำหนดการเดิมด้วยเหตุแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยจะเริ่มต้นกันในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ไปจนถึง 31 มีนาคม 2565 แต่ความน่าสนใจก็ไม่ได้ลดน้อยลง นอกจากจะเป็นการจัดงานครั้งแรกในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งมีการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และนวัตกรรมล้ำสมัย หัวข้อหลักยังมีความน่าติดตามเป็นอย่างมาก โดยมีธีมว่า “Connecting Mind, Create the Future” สื่อถึงการ “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” เพื่อเป็นเหมือนกับสัญญาณให้กับคนรุ่นใหม่ๆ มาช่วยกันในการพัฒนาโลกต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ รูปแบบของพื้นที่จัดแสดงยังมีการปรับเปลี่ยนเพื่อสื่อสารถึงความ “เชื่อมต่อ” กันมากขึ้น โดยปกติพื้นที่จัดงานจะมีการแบ่งเป็นโซนตามทวีปต่างๆ แต่ในครั้งนี้พื้นที่งานจะถูกแบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ “โซน Opportunity” คือการนำเสนอด้านโอกาส “โซน Mobility” ซึ่งมุ่งเน้นด้านการขับเคลื่อน และ “โซน Sustainability” ที่ว่าด้วยความยั่งยืน ซึ่งแต่ละประเทศสามารถเลือกได้ว่าต้องการจองพื้นที่โซนใดเพื่อสื่อสารสิ่งที่ต้องการนำเสนอ นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้ชม Pavilion จากหลากหลายภูมิภาคที่ตั้งอยู่ในโซนเดียวกันไปด้วย โดยประเทศไทยได้เลือกโซน “Mobility” เพื่อสื่อสารถึงการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคต

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับบทบาทขับเคลื่อนความเป็นดิจิทัลของไทยสู่สากล

โดยทั่วไปแล้ว หน้าที่การเป็นหัวเรือใหญ่ในภารกิจ World Expo จะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละกระทรวง โดยยึดธีมงานเป็นหลัก ดังนั้นการจัดงานครั้งนี้ที่มีหัวข้อเป็นเรื่องของ “การสร้างอนาคตยุคดิจิทัล” กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า จึงได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดสร้าง Thailand Pavilion ในครั้งนี้ มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2560 เรียกว่าเป็นความสอดคล้องไปกับบทบาทหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่ก่อตั้งในปี 2560 เช่นกัน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย ในการขับเคลื่อนประเทศโดยเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาทั้งเศรษฐกิจและสังคม

“ด้วยโจทย์ดังกล่าว เราจึงมองไปถึงการนำเสนอเรื่องของการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต อาทิ นวัตกรรมต่างๆ ความก้าวหน้าของประเทศ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราได้เลือกพื้นที่ในโซน Mobility”

“เสน่ห์ความเป็นคนไทย” คือสิ่งมัดใจนานาชาติ

เมื่อสอบถามถึงแนวคิดในการนำเสนออาคารแสดงประเทศไทยในครั้งนี้ คุณอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ได้เล่าให้เราฟังอย่างน่าสนใจว่า “ประเด็นหลักที่เราอยากจะสื่อสารคือคำว่า “Mobility for the Future” หรือการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต ในอาคารแสดงประเทศไทย เราจึงแบ่งพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการออกเป็น 4 ห้อง เพื่อนำเสนอการพัฒนาประเทศตั้งแต่อดีต แสดงความรุ่งเรืองของดินแดนสุวรรณภูมิที่ชาวไทยเข้ามาตั้งรกราก ในฐานะดินแดนที่มีความพร้อม ความได้เปรียบทั้งภูมิศาสตร์ เป็นศูนย์กลางทั้งการค้า การทำธุรกิจในภูมิภาคนี้ และนำเสนอเพิ่มเติมถึงการต่อยอดไปสู่อนาคตในโลกยุคดิจิทัล โลกยุคอินเทอร์เน็ต ว่าเรามีแผนการอย่างไร เพื่อที่จะเป็นศูนย์กลางในด้านเทคโนโลยี และด้านเศรษฐกิจยุคใหม่ในภูมิภาค”

“ในส่วนของการออกแบบ เราได้ผ่านการคิดวิเคราะห์มาอย่างรอบด้านเพื่อมองหาว่า “อะไรคือความเป็นไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ?” แล้วเราก็พบว่าเสน่ห์ของคนไทย หรือ “Thai Hospitality” นี่แหละคือสิ่งที่มัดใจผู้มาเยือนได้ดีที่สุด เราต่อยอดจากจุดนี้ เรียงร้อยเป็นการออกแบบเพื่อจะสื่อสารเสน่ห์ดังกล่าว เริ่มที่อาคารแสดงประเทศไทย เราออกแบบโดยเลือกสร้างความรู้สึกของอารยธรรมไทยผ่าน “ดอกรัก” ออกแบบมาให้คล้ายกับพวงมาลัยทีประดับประดาโดยรอบตัวอาคาร สอดคล้องไปกับสัญลักษณ์ของอาคารแสดงประเทศไทยในครั้งนี้ ที่เลือกใช้ “พวงมาลัย” สำหรับการสื่อสารถึงมิตรภาพ และการต้อนรับที่จริงใจอบอุ่นต่อผู้มาเยือนทุกคน นอกจากนั้นยังเลือกใช้ “สีทอง” เป็นหลัก ด้วยเป้าหมายสองประการคือการสื่อสารถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิ และยังเป็นสีที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคตะวันออกกลาง และในส่วนของโครงสร้างจะออกแบบให้มีลักษณะเป็นซุ้มโค้งคล้ายคนประนมมือไหว้ สื่อความหมายถึงเอกลักษณ์งานสถาปัตยกรรมไทย อันได้แก่ ทรงจอมแห ลักษณะของพระปรางค์วัดอรุณ หรือจั่วของบ้านเรือนไทย

ใช้อดีตเป็นรากฐาน เพื่อขับเคลื่อนอนาคต

จากที่กล่าวไว้ว่าภายในอาคารแสดงประเทศไทย จะแบ่งเป็น 4 ห้อง คุณอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าแต่ละห้องก็จะนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจต่างกันไปแต่ก็มีความเชื่อมโยงกัน

“ในห้องแรกจะเรียกว่า “Thai Mobility” เป็นห้องที่จะต้อนรับคนที่เข้ามาเพื่อรอชมนิทรรศการในห้องถัดไป เราได้นำเสนอการขับเคลื่อนประเทศไทยในยุคอดีต ซึ่งเรานำเรือสุพรรณหงส์จำลอง และราชรถจำลอง มาจัดแสดงเพื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมไทยและการขับเคลื่อนไทยในครั้งอดีตที่หล่อหลอมสู่ปัจจุบัน สื่อถึงอารยธรรมที่เก่าแก่และยาวนาน”

“ห้องที่สองจะชื่อว่า “Mobility of Life” น้ำขับเคลื่อนชีวิตไทย จะเป็นการแสดงแอนิเมชั่นวิดิทัศน์ สื่อผสมต่างๆ เพื่อที่จะร้อยเรียงในเรื่องของการพัฒนาประเทศในยุคอดีตตั้งแต่เราเริ่มตั้งเป็นประเทศไทยที่กรุงเทพฯนี้ กระทั่งถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งเรามีการเจริญก้าวหน้าทั้งทางบก ทางอากาศ รวมไปถึงเรื่องของการทำธุรกิจต่างๆ มากมาย”

“ห้องที่สามจะมีชื่อว่า “Mobility of the Future” เป็นการนำเสนอแบบ 360 องศาเพื่อจะทำให้เห็นภาพของประเทศไทยในอนาคตที่พัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ทั้ง 7 มิติ และกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า เพื่อฉายภาพให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง สนามบินใหม่ พื้นที่ EEC ที่มีการพัฒนาดิจิทัลอินโนเวชั่นต่างๆ ซึ่งตรงนี้จะเป็นการจำลองให้เห็น สอดคล้องไปกับโครงการจริงที่รัฐบาลได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว ดังนั้นนานาชาติจะได้เห็นว่าในอนาคตอันใกล้ ดินแดนนี้จะเติบโตไม่หยุดยั้งสู่ยุคดิจิทัลสมบูรณ์แบบ สร้างความมั่นใจและสื่อสารถึงชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

“และห้องที่สี่จะเป็นเรื่อง “Heart of Mobility” เราจะนำเสนอความประทับใจของบุคคลระดับโลก จากทุกประเทศทุกภูมิภาค ผ่านภาพยนตร์สั้นที่มีความประทับใจในประเทศไทย ที่มาลงทุน มาอยู่ มาอาศัย มาทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่นักกีฬา ผู้กำกับหนังระดับโลกที่หลังจากรีไทร์แล้วก็มาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย นักธุรกิจใหญ่ๆ นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมาได้รับรางวัล มาทำการวิจัยที่ประเทศไทย แล้วเขามีความประทับใจในประเทศไทยยังไง เขาก็จะมาพูดถึงเสน่ห์ของไทย เพื่อตอบรับกับเป้าหมายที่เราตั้งใจ คือต้องการให้คนที่เข้ามาดูเกิดความรู้สึกประทับใจ แล้วนำมาสู่การเชิญชวนให้เขาจะมาเยี่ยมเยียนประเทศไทย มาเที่ยว มาลงทุน หรือมาอาศัย มาต่อยอดธุรกิจในประเทศไทย”

วัฒนธรรม-อาหาร-การท่องเที่ยว-การทูต ครบทุกมิติในงานเดียว

นอกเหนือจากแผนงานการจัดแสดงภายในอาคารที่ถูกออกแบบอย่างน่าสนใจแล้ว งานครั้งนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ยังพร้อมผลักดันสิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับการใช้งานพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายในอาคารแสดงประเทศไทยจะมีการนำเสนออาหารไทย เพื่อส่งต่อเสน่ห์รสชาติแบบไทยแท้สู่นานาชาติ ผ่านร้านอาหารไทย ‘The Taste of Thai’ นอกจากนี้ยังมีร้านของที่ระลึก Thai Souk โดยสินค้าได้ผ่านการคัดเลือกจากโครงการคัดเลือกสุดยอดสินค้าดี สินค้าเด่นของไทย จากผู้ประกอบการไทย เพื่อโปรโมตและประชาสัมพันธ์สินค้าที่ดีมีคุณภาพ ได้มาตรฐานระดับสากล ให้ผู้เข้าชมงานจากทั่วโลกได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยกลับไปเป็นของฝาก

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ภูมิใจนำเสนอ คือในโซนพื้นที่จัดแสดง ทั้งหน้าอาคารและบริเวณทางออก ซึ่งหน้าอาคารจะมีการจัดแสดงโชว์ศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยเป็นประจำวันด้วย 3 ชุดการแสดง ภายใต้แนวคิด “Thai Iconic ความเป็นไทยสู่สายตานานาชาติ” ได้แก่ 1.จิตวิญญาณนักสู้ไทย : THAI FIGHTING SPIRIT เป็นการแสดงมวยไทย ในรูปแบบ E-sports 2.ทำนองไทย 4 ภาค : THAI RHYTHM การแสดงไทยประยุกต์ที่ผสมผสานประเพณีไทยและการละเล่นไทยทั้ง 4 ภาคเข้ากับมัลติมีเดียล้ำสมัย มีการสลับฉากหลังอันยิ่งใหญ่สุดตระการตา สุดท้าย 3.ไทยวิจิตร : THAI MIRACLE การแสดงความวิจิตรของศิลปะและวัฒนธรรมไทย ผ่านมัลติมีเดียและนักแสดง ด้วยการแสดงโขน ซึ่งถือเป็นสุดยอดศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย” รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนให้มาร่วมจัดแสดงนิทรรศการ และกิจกรรมพิเศษภายใต้แนวคิด The Best of Thailand เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของประเทศไทย เพื่อเชิญชวนให้เกิดการทำธุรกิจและการลงทุนด้วย ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่ของอาคารแสดงประเทศไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ยังการคัดเลือก Thailand Pavilion Ambassador จำนวน 25 คน จากผู้สมัคร ทั่วประเทศกว่า 500 คน เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปเป็นเจ้าหน้าที่ประจำนิทรรศการของอาคารแสดงประเทศไทยอีกด้วย

“ทั้งนี้ ในส่วนการจัดแสดงภายนอกจะมีความพิเศษอยู่ที่การแสดงไฮไลต์ตามข้อกำหนดของงาน World Expo ที่ต้องจัดให้วันหนึ่งเป็น “วันชาติ” โดยเราได้แจ้งไว้ว่าจะเป็นวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งจะมีการจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นวาระของการเฉลิมฉลอง "Golden Jubilee" ของทางยูเออี และยังเป็นวาระครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับยูเออี 45 ปี ซึ่งจะครบรอบในวันที่ 12 ธันวาคม จึงกล่าวได้ว่าการร่วมจัดงานในครั้งนี้มีความพิเศษมากมายรออยู่ ซึ่งคาดว่าคนไทยก็จะมีโอกาสได้ร่วมรับชมผ่านทาง Facebook Live เช่นกัน”

มุ่งเป้าสู่การเป็น Pavilion ยอดนิยม พร้อมผลักดันไทยสู่การเป็นปลายทางของนานาชาติ

“สิ่งที่เราภาคภูมิใจมาโดยตลอดคือการที่อาคารแสดงปรเทศไทย ได้รับความสนใจอย่างมากในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เช่นในงาน World Expo 2010 Shanghai โดยอาคารแสดงประเทศไทย ได้รับความนิยมสูงและติดอันดับ 1 ใน 7 พาวิลเลี่ยนยอดนิยมสูงสุดในการจัดงาน มีการรอคิวจากผู้เข้าชมเพื่อที่จะเข้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในปีนี้เราจึงมีความมุ่งมั่นเป็นพิเศษ และเป็นครั้งแรกที่เราได้พื้นที่จัดแสดงขนาดใหญ่ที่สุด”

“นอกเหนือไปกว่านั้น สิ่งที่เรายึดมั่นเสมอมาในการร่วมงาน World Expo คือเราต้องการให้ผู้เข้าชมเกิดความประทับใจในประเทศไทย ทำให้เขาอยากมาเยือน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเยือนไทยมาก่อน เช่นในหนนี้ที่ผู้เข้าชมน่าจะมาจากทางตะวันออกกลางถึงประมาณ 25% และอีก 75% จะมาจากทั่วโลก ซึ่งตะวันออกกลางจะมีนักท่องเที่ยวและคนที่มาทำธุรกิจเป็นหลัก เราก็เชื่อว่าทุกคนจะมีความประทับใจอยากมาเที่ยว เพราะเขาจะเห็นโอกาสมากมายที่เราเตรียมไปนำเสนอ โดยเฉพาะการพัฒนาในเรื่องต่างๆ จึงเหมาะกับการทำธุรกิจ การลงทุน หรือแม้กระทั่งมาอยู่ถาวร เพื่อทำธุรกิจอย่างยั่งยืน อันนี้คือเป้าหมายอีกประการที่เรามุ่งหวังจากการไปออกงาน World Expo ในครั้งนี้ ซึ่งจะมีความสอดคล้องกับนโยบายการเปิดประเทศของไทยหลังโควิด-19”

“ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่เข้าร่วมงาน World Expo มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน การเข้าร่วมงาน World Expo จึงถือเป็นการสานต่อความต่อเนื่องและความสำเร็จดังกล่าว และอาจนำมาซึ่งการพิจารณาให้สิทธิในการจัดงานต่างๆ ของประเทศไทยในฐานะสมาชิกของ (Bureau of International Expositions หรือ BIE) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจมหาศาลต่อประเทศไทยในอนาคต” คุณอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย กล่าวสรุป

จากเรื่องราวการทำงานเบื้องหลังกว่าจะมาเป็นอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ในครั้งนี้ สิ่งที่เราสัมผัสได้ชัด คือ ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ที่จะพาเสน่ห์อย่างไทยไปสร้างความประทับใจในเวทีโลก นอกจากนั้นยังมองเห็นถึงการรวมพลังครั้งใหญ่ของทุกภาคส่วนตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมไปถึงเราทุกคน สามารถร่วมติดตามและส่งกำลังใจให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภารกิจสำคัญนี้ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ ทำให้มหกรรม World Expo 2020 Dubai กลายเป็นงานที่เราคนไทยไม่ควรพลาดอย่างแท้จริง

สามารถติดตามข่าวสารของอาคารแสดงประเทศไทยได้ที่
โซเชียลมีเดีย: https://www.facebook.com/Expo2020DubaiThailand/ 
เว็บไซต์: https://www.expo2020dubaithailand.com/