ก็แค่เรื่องจะไปตัดผมที่ร้านไหน หากาแฟกิน ที่จริงก็คือหาที่คุยกันเมื่อไหร่ หลังรัฐบาลคลายล็อกบ้านเมือง ผมมีเรื่องคุยกับเพื่อนหลายคน คุยๆๆไปจนสมองล้า หาทาง เอ๊ย! หาเรื่องที่จะเขียนไม่ได้
ตามเคย ผมเลือกพึ่ง “พระอาจารย์พรหม” ในหนังสือ ชวนม่วนชื่น 2 เรื่องที่ 39 ท่านเขียนเรื่อง “น้ำมนต์” นี่คือเรื่องที่ผมยืนยัน ทั้งคนเล่า ทั้งคนอ่าน หัวเราะสบายใจไปได้ด้วยกัน
พระอาจารย์พรหมเริ่มต้นว่า ในพิธีแต่งงานของชาวพุทธ ในเมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย เจ้าภาพมักนิมนต์ท่านพรมน้ำมนต์ให้คู่บ่าวสาว เพื่อความโชคดีมีความสุข
อาตมารู้เหมือนที่คนอื่นรู้ การแต่งงานปัจจุบันนี้ จำเป็นต้องอาศัยโชคทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ จึงตั้งใจพรมน้ำมนต์ให้คู่บ่าวสาวอย่างชุ่มโชก
จนเมื่อเครื่องสำอางบนใบหน้าเจ้าสาว เริ่มละลายไหลออกมาเป็นทางที่แก้มทั้งสองข้าง พระอาจารย์ก็เริ่มอธิบายให้เจ้าบ่าวฟัง “ตอนนี้โยมได้เห็นใบหน้าอันแท้จริงของเจ้าสาวแล้วนะ
การที่ได้รู้ความจริงในวันนี้ ดีกว่าไปรู้เอาทีหลัง”
ผมขอตั้งข้อสังเกต พระอาจารย์พรหมเจตนาเล่นคำ รดน้ำหน้าเจ้าสาวให้เปียกโชก กับคำว่า โชค เรื่องเล่านี้ แค่ออเดิร์ฟ เรียกน้ำย่อยครับ มาถึง “จานหลัก” ที่ท่านตั้งใจเสิร์ฟต่อไปดีกว่า
วันหนึ่ง พระอาจารย์เดินทางกลับจากต่างประเทศ มาถึงสนามบินที่เมืองเพิร์ธ ได้อ่านระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของออสเตรเลีย ท่านก็ต้องอึ้ง
เมื่ออ่านพบว่าหนึ่งในของต้องห้ามนำเข้าสนามบิน คือน้ำมนต์
พระอาจารย์สอบสวนทวนความ...ก็ได้ความ ในอดีตอันแสนหวาน สมัยที่สนามบินออสเตรเลียมีช่องสีเขียว ที่สามารถเดินออกมานอกสนามบินได้เลยนั้น
มีนักเดินทางชายชาวออสเตรเลียคนหนึ่ง ถูกสุ่มตรวจ เจ้าหน้าที่เปิดกระเป๋าเดินทาง ก็พบวิสกี้สองขวด ไม่ได้สำแดงการนำเข้า ซ่อนอยู่ใต้เสื้อแจ็กเกตและกางเกงขาสั้น
...
“นี่ขวดอะไรครับ” เจ้าหน้าที่ถาม
“ผมเป็นคนเคร่งศาสนา” นักท่องเที่ยวใช้ความคิดรวดเร็ว “ผมเพิ่งกลับจากการไปจาริกแสวงบุญที่เมืองลูร์ดอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศฝรั่งเศส...นี่ก็แค่น้ำมนต์เท่านั้น”
“อืม!” ศุลกากรอุทาน “แล้วทำไม ที่ฉลากเขียนไว้ว่า จอห์นนี่ วอร์คเกอร์ ล่ะครับ”
“ก็เพราะผมต้องใส่น้ำมนต์ไว้ในขวดใดขวดหนึ่ง” นักท่องเที่ยวยังพูดได้คล่อง “แล้วบังเอิญขวดสองขวดนี้ก็เป็นขวดเปล่า เท่าที่ผมมีอยู่”
เจ้าหน้าที่ฟังแล้วยังนิ่ง นักท่องเที่ยวได้ที “ทีนี้ ผมไปได้แล้วใช่ไหมครับ”
ศุลกากรยังไม่หายสงสัย ตัดสินใจเปิดขวดใบหนึ่ง ยกขวดขึ้นจ่อจมูก แล้วสูดกลิ่นน้ำในขวด แล้วก็บอก “นี่มันเหล้าวิสกี้ ไม่ใช่น้ำมนต์ ไม่เชื่อคุณก็ลองดมดูซี”
นักท่องเที่ยว รับขวดนั้นไปดมดูแล้ว ก็ร้องเสียงดัง
“ฮัลเลลูย่าห์ พระเจ้าช่วย คุณพูดถูกจริงๆ นี่มันต้องเป็นปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่งแน่ๆ”
พระอาจารย์พรหมจบเรื่องน้ำมนต์ว่า “นับแต่นั้นมา น้ำมนต์จึงเป็นของต้องห้ามนำเข้าออสเตรเลีย”
อ่านถึงตรงนี้ ใครที่อัดอั้นอะไร ก็หัวเราะออกมาเถิด...ก็ทำไม เมื่อที่ออสเตรเลีย เคยมีปาฏิหาริย์ครั้งแรก น้ำมนต์กลายเป็นเหล้าวิสกี้ จะมีปาฏิหาริย์ครั้งที่สอง ยาเสพติดกลายเป็นผงแป้งไม่ได้
และสองปาฏิหาริย์ที่ออสเตรเลีย คงไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับปาฏิหาริย์ในเมืองไทย
เริ่มมีข่าวเล่าลือกันแล้ว นักโทษคดีผงแป้ง กำลังลุ้นขึ้นตำแหน่งนายกฯไม่เชื่อก็ลบหลู่ไม่ได้ บ้านนี้เมืองนี้ ปาฏิหาริย์อะไรๆ เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น.
กิเลน ประลองเชิง