"ครูต้องเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ต้องรู้จักสร้างคอนเทนต์สื่อสารให้เป็น"
แนวคิดมุมมองใหม่ผ่านสายตาของอาจารย์นักพัฒนา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์สุพจน์ ทรายแก้ว อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปลี่ยนวิกฤติโควิด-19 ให้เป็นโอกาสทางการศึกษา มองการแข่งขันเป็นวิธีพัฒนาการเรียนการสอนให้เข้าถึงเด็กได้ดียิ่งขึ้น หลายความคิดเห็นที่น่าสนใจจากผู้ชายคนนี้ บทสัมภาษณ์เจาะลึกโลกการศึกษาของไทยยุคใหม่ที่เข้าใจง่าย
"โควิด-19 ที่ทำให้เราต้องอยู่ห่างๆ กัน มันเป็นตัวกระตุ้นให้การเรียนการสอนในลักษณะผสมผสาน คือการเรียนออนไลน์และเรียนในห้องเรียนบางส่วน มันเกิดขึ้นได้ไวขึ้น ตามมุมมองของผม โควิด-19 มันเป็นตัวช่วยให้มหาวิทยาลัย และโรงเรียนต้องปรับตัว เพราะว่าในต่างประเทศเขาได้ปรับวิธีการเรียนการสอนแบบผสมผสานมาโดยต่อเนื่องแล้ว ซึ่งของไทยยังถือว่าช้าอยู่ แต่พอโควิด-19 เข้ามา มันทำให้คณาจารย์ หรือครูผู้สอน เปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่เกิดการต่อต้าน
เพราะฉะนั้นโควิด-19 มันคือโอกาสนะครับ ที่ทำให้ระบบการศึกษาของประเทศมันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่เหมาะสม เพราะเราไม่สามารถใช้กระบวนการเรียนการสอนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปได้แล้ว เนื่องจากปัจจุบันเรามีเทคโนโลยี และมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้ความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
สถาบันความรู้ มันไม่ได้หมายถึงมหาวิทยาลัย ไม่ได้หมายถึงโรงเรียนอย่างเดียวแล้ว ปัจจุบันมีติวเตอร์ องค์กรเอกชน องค์กรของรัฐหลายหน่วยงาน ทำหน้าที่ให้ความรู้ สร้างประสบการณ์ให้กับผู้เรียน โดยไม่ได้เปิดสอนในห้องเรียนแล้วนะครับ เขาสามารถสร้างห้องเรียนเสมือน แล้วสามารถที่จะเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่สถาบันการศึกษาไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ควรจะต้องปรับตัวให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงตรงนี้"
การศึกษา = การแข่งขัน
เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตทำให้การศึกษาจากห้องเรียนกลายเป็นจออิเล็กทรอนิกส์ สถาบันการศึกษายังจำเป็นอยู่ไหมในยุคปัจจุบัน อธิการบดีสุพจน์ ตอบทันทีว่า
"มันคือการแข่งขัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้มหาวิทยาลัยลดความจำเป็นหรือความจำเป็นลงไป เพราะมหาวิทยาลัยก็ต้องเริ่มสร้างคอนเทนต์เพื่อที่จะนำเสนอในสิ่งที่ผู้เรียนต้องการ มันก็คือการแข่งขันกันอยู่ในที (ยิ้ม) แต่มหาวิทยาลัยก็ต้องดำเนินการเร่งด่วน เริ่มต้นด้วยการปรับอาจารย์ให้กลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ สอนแล้วเด็กอยากจะมาเรียนด้วย อยากจะเข้าหาอาจารย์คนนี้ ไม่ใช่วิชาภาคบังคับที่เด็กจะต้องเรียนกับครูคนนี้เท่านั้น ที่สำคัญคือครูอาจารย์ต้องสร้างคอนเทนต์เป็น สื่อสารเป็น
ถ้าหากว่าเราดำเนินการได้ตามเป้าหมายนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหวาดกลัวกับสถาบันการเรียนต่างๆ จะเข้ามาแข่งขัน เพราะองค์ความรู้ ประสบการณ์หลายอย่าง มหาวิทยาลัยมีและสามารถนำไปถ่ายทอดได้ ซึ่งมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็มีจุดเด่นในวิชาสาขาแตกต่างกันไป มั่นใจว่าเราสามารถแข่งขันในโลกของตลาดวิชาออนไลน์ได้ครับ"
อาจารย์นักพัฒนาท้องถิ่น
เพื่อสอดรับกับการศึกษาที่ให้ความรู้กับนักศึกษามากกว่าแค่ในห้องเรียน อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ จึงมีแนวคิดในการสร้างโมเดลต้นแบบการพัฒนาอาจารย์มหาวิทยาลัยให้มีบทบาทการทำงานในชุมชนมากขึ้น เกิดเป็นโมเดลใหม่ที่เรียกว่า 'อาจารย์นักพัฒนาท้องถิ่น' เสริมพลังแห่งการเรียนรู้สู่ชุมชน เชิดชูงาน ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของท้องถิ่น ตลอดจนบูรณาการด้านองค์ความรู้สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน และท้องถิ่นสู่ความยั่งยืน
"พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราโชบายว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งควรมีหน้าที่ไปพัฒนาท้องถิ่นที่ตั้งของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินการของมหาวิทยาลัย เราก็เห็นว่าการที่เราจะลงไปขับเคลื่อนงานพัฒนาท้องถิ่น มันจำเป็นต้องได้คนที่มีใจที่จะลงไปทำงาน เนื่องจากว่างานพัฒนาท้องถิ่น มันเป็นงานที่อาศัยความอดทน ยากลำบาก เพราะต้องลงไปอยู่กับชุมชนต่อเนื่องยาวนาน
เราจึงต้องหาคนที่จะสานความตั้งใจนี้ให้สำเร็จ จึงเป็นแนวคิดมองหาคนที่มีสมรรถนะ มีความตั้งใจในการที่จะลงไปเรียนรู้ไปทำงานกับคนในท้องถิ่น ไม่ใช่การสรรหาอาจารย์มาทำงานจัดการเรียนการสอนเพียงอย่างเดียว จึงเป็นที่มาของคำว่า อาจารย์นักพัฒนาท้องถิ่น ในมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์"
การทำงานของอาจารย์นักพัฒนาท้องถิ่น อย่างแรกต้องร่วมกับชุมชนเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของชุมชนท้องถิ่น ว่าปัญหาที่แท้จริงๆ คืออะไร เรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน วิเคราะห์หาศักยภาพของชุมชนท้องถิ่น อะไรคือปัญหาที่ควรจะแก้ไขอย่างเร่งด่วน
เมื่อชาวบ้านรับรู้ และเห็นคุณค่าที่อาจารย์นักพัฒนาท้องถิ่นนำไปเสนอก็จะร่วมมือกันทำ นำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการในการทำงานของชุมชนท้องถิ่น เรียกว่า นำนวัตกรรมไปสู่ชุมชนท้องถิ่น ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ โครงการนี้ทำให้ครอบครัวที่เกษตรอินทรีย์กลายเป็นเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับรองคุณภาพจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เมื่อสามารถทำให้ผ่านกระบวนการเหล่านี้แล้ว สินค้าของเขาก็สามารถขายในห้างสรรพสินค้าได้ สินค้าได้รับการสั่งจองอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การมีรายได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้มหาวิทยาลัยมีชุมชนที่ดูแลอยู่ประมาณ 20 กว่าชุมชน และนอกจากนี้ยังมีโครงการ U2T ของกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์รับผิดชอบอีก 48 ตำบล เบ็ดเสร็จที่มหาวิทยาลัยดูแลอยู่ก็ประมาณ 60 กว่าตำบล
งานพัฒนาท้องถิ่นไม่ใช่ CSR
"เพราะมันคือพันธกิจสำคัญของมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ เพียงแต่ว่าในอดีตเราทำแบบแยกส่วน พาไปพัฒนาชุมชนท้องถิ่นในลักษณะให้บริการทางวิชาการ ปัจจุบันเราปรับโดยเปลี่ยนเป็นงานวิจัย ปรับการเรียนการสอน เอาชุมชนเป็นพื้นที่ที่ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ ให้อาจารย์ได้วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังทำจึงถือว่าเป็นพันธกิจสำคัญของมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ มันจึงไม่ใช่โครงการ CSR ครับ"