พม.ร่วม กสศ.ห่วงเด็กกำพร้าเพิ่ม เดินหน้าศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ผนึกกำลังทุกหน่วยงาน ดูแลเชิงรุก ป้องกันหลุดนอกระบบการศึกษา พบเห็นเด็กกลุ่มเสี่ยง โทรสายด่วน 1300
วันที่ 16 ส.ค.2564 กองทุนเพื่อความเสมอภาคการศึกษา (กสศ.) พร้อมด้วย นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาสังคม กสศ. นางสาวนิโคล่า บลั้น รักษาการหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟประเทศไทย และนายคริส โปตระนันทน์ พร้อมสมาชิกกลุ่มเส้นด้าย ร่วมแถลงข่าวออนไลน์ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 รายงานข้อมูล แนวโน้มสถานการณ์ และการช่วยเหลือครอบคลุมทุกปัญหาเร่งด่วน

นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันพบเด็กติดเชื้อโควิด-19 รายวัน ล่าสุดประมาณ 2,900 คน มีจำนวนเด็กติดเชื้อสะสม 96,393 คน และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเด็กเป็นกลุ่มเปราะบาง ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การปกป้องคุ้มครองไม่สามารถดำเนินการได้โดยหน่วยงานเดียว จึงนำมาสู่ความร่วมมือของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กองทุนความเสมอภาคเพื่อการศึกษา กรมสุขภาพจิต และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานเชื่อมต่อบริการของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน ภาคประชาสังคม และอาสาสมัครในการช่วยเหลือเด็กและครอบครัวได้อย่างไร้รอยต่อ กลุ่มเป้าหมายครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มแรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี โดยแบ่งการช่วยเหลือตามสภาพปัญหา ดังนี้ 1. กลุ่มเด็กติดเชื้อ และพ่อแม่หรือผู้ปกครองติดเชื้อ 2. กลุ่มเด็กติดเชื้อ แต่พ่อแม่หรือผู้ปกครองไม่ติดเชื้อ 3. กลุ่มเด็กไม่ติดเชื้อ แต่พ่อแม่หรือผู้ปกครองติดเชื้อ 4. กลุ่มที่ทั้งเด็กและพ่อแม่หรือผู้ปกครองไม่ติดเชื้อแต่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ และ 5. กลุ่มเด็กที่กำพร้าบิดาหรือมารดา หรือกำพร้าทั้งบิดามารดา หรือผู้ปกครองที่เป็นผู้ดูแลเสียชีวิตจากโควิด-19โดย เน้นการดูแลที่ใช้ครอบครัวเป็นฐานและการรักษาความสัมพันธ์ของเด็กและครอบครัว
...

อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวว่า ศูนย์ฯ เปิดดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.2564 โดยเคสที่น่าเป็นห่วง คือ ประเด็นเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองดูแลเพราะป่วยอยู่ และเด็กกำพร้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลเด็กกำพร้าที่กรมฯ ให้การช่วยเหลือและอยู่ระหว่างการช่วยเหลือ ณ วันที่ 15 ส.ค.2564 มีจำนวน 182 คน ทั้งกำพร้าบิดา มารดา หรือกำพร้าทั้งบิดาและมารดา หรือผู้ปกครอง กระบวนการช่วยเหลือเชิงรุก ของศูนย์ฯ จะมีผู้จัดการรายกรณี ระยะเร่งด่วน คือให้เด็กมีผู้ดูแลและปลอดภัย และประสานหน่วยงานเครือข่ายให้การช่วยเหลือด้านกาย จิต สังคม รวมถึงป้องกันหลุดออกจากระบบการศึกษา ประกอบไปด้วย 1. การเข้าถึงบริการด้านการตรวจเชื้อและการรักษาพยาบาล 2. การปฐมพยาบาลทางจิตใจ เพื่อลดความวิตกกังวล และความเครียด 3. จัดบริการเพื่อให้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคม เช่น กองทุนคุ้มครองเด็ก เงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด นอกจากนี้ยังรวมถึง ถุงยังชีพ ถุงการเรียนรู้ เพื่อเด็กในภาวะวิกฤติอีกด้วย 4. ระบบการเลี้ยงดูทดแทน ทั้งแบบฉุกเฉินสำหรับเด็กกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง ที่ต้องได้รับการดูแลในระยะกักตัว 14 วันเพื่อติดตามอาการในสถานที่กักตัว (State Quarantine) และการเลี้ยงดูทดแทนแบบชั่วคราวสำหรับเด็กที่พ้นระยะกักตัว 14 วันที่พ่อแม่ ผู้ปกครองยังไม่มีความพร้อมในการรับเด็กกลับไปเลี้ยงดู หรือพ่อแม่ ผู้ปกครองเสียชีวิต ในรูปแบบครอบครัวเครือญาติ ครอบครัวอุปถัมภ์ ครอบครัวบุญธรรม หรือสถานสงเคราะห์ซึ่งจะเป็นทางเลือกสุดท้าย) 5. ทุนสร้างโอกาสเพื่อป้องกันเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา
“การทำงานของศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 เป็น virtual center เชื่อมโยงฐานข้อมูลการช่วยเหลือแบบไร้รอยต่อ เน้นบุคลากร อาสาสมัครในพื้นที่ทั่วประเทศเป็นสำคัญเพื่อเข้าถึงเด็กได้อย่างรวดเร็ว ประชาชนทั่วไปสามารถประสานแจ้งเหตุผ่านช่องทางต่างๆ ทั้ง สายด่วน 1300 ติดต่อผ่านบ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 77 จังหวัด และแอปพลิเคชันคุ้มครองเด็ก และความร่วมมือล่าสุด 4 หน่วยงานคือ แอปพลิเคชันไลน์ : @savekidscovid19 มีทีมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้มีเด็กและครอบครัวตกหล่นจากการช่วยเหลือ” นางสุภัชชา กล่าว

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มีจำนวนเด็ก (แรกเกิด-18 ปี) ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น จากสถิติสัปดาห์ที่ 33 ข้อมูลล่าสุดวันที่ 11 ส.ค.2564 จากจำนวน 366 รายต่อสัปดาห์ เป็น 18,879 รายต่อสัปดาห์ล่าสุด โดยพบว่ามีจำนวนเด็กเสียชีวิตแล้วกว่า 10 ราย โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เราจะเห็นตัวเลขเด็กป่วยติดเชื้อต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกินหมื่นราย โดยกลุ่มที่น่าห่วงที่สุดคือกลุ่มเด็กเล็ก และมีโรคประจำตัว โรคทางพันธุกรรม ติดเตียง หัวใจพิการมาแต่กำเนิด เมื่อป่วยจะมีอาการหนักและรุนแรงกว่าเด็กปกติที่ป่วย ขณะที่สาเหตุการติดเชื้ออาจมาจากมีปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เช่น หอม กอด เป็นต้น
...
“สำหรับประเด็นการแพร่เชื้อในครอบครัว สถาบันสุขภาพเด็ก อาจฉีดวัคซีนให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี และมีโรคร่วม เนื่องจากห้ามการติดเชื้อค่อนข้างยาก ดังนั้นวัคซีนจะเป็นคำตอบช่วยลดป่วยหนักและลดการเสียชีวิตในเด็กที่มีปัญหาโรคประจำตัวได้ โควิด-19 ทำลายทุกทฤษฎีที่เรารู้จัก อยู่ที่เราชั่งสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ว่าอะไรได้ประโยชน์ เรารู้แล้วว่าการฉีดวัคซีนในเด็กที่มีโรคประจำตัวเป็นเรื่องสำคัญในขณะนี้ เด็กควรได้รับวัคซีน วัคซีนถ้าพัฒนาไปเรื่อยๆ ทำให้ป้องกันการติดเชื้อได้ ปลายปีหน้าอาจเป็นเหมือนไข้หวัด แต่ต้องดูว่าวัคซีนสามารถพัฒนาประสิทธิภาพได้ขนาดไหน นี่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังเร่งศึกษาพัฒนา" นพ.สมศักดิ์ กล่าว

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาสังคม กองทุนเพื่อความเสมอภาคการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า กสศ.สนับสนุน กลไกอาสาสมัครคุณภาพเข้ามาเป็นตัวช่วยให้เด็กกลุ่มเปราะบางเข้าถึงการดูแลรวดเร็วขึ้น รวมถึงเป็นกำลังเสริมให้แก่หน่วยงานหลักต่างๆ เช่น อาสาสมัครคุณครูทั้งในระบบและนอกระบบในชุมชนต่างๆ อาสาสมัครเยาวชน ช่วยรับส่งผู้ป่วยเด็ก การส่งชุดยา เครื่องมือติดตามอาการหรืออุปกรณ์ช่วยชีวิต ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนตลอด 24 ชม นอกจากนี้ยังร่วมกับ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการสนับสนุนระบบอาสาสมัครดูแลเด็กสัมผัสเสี่ยงสูงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ระหว่างระยะเวลากักตัว 14 วัน ในสถานที่กักตัว (State Quarantine) ดูแลเด็กป่วยติดเชื้อที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในสถานพยาบาลทุกรูปแบบ อาสาสมัคร เยี่ยมเด็กและครอบครัวในพื้นที่ชุมชน เพื่อติดตามการเลี้ยงดู ส่งยา อาหารหรือเครื่องใช้จำเป็น และอาสาสมัครเลี้ยงดูเด็กชั่วคราวในครอบครัวอุปถัมภ์ ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อน เปิดรับอาสาได้เต็มรูปแบบภายเดือนสิงหาคมนี้ โดยมีค่าตอบแทน ให้แม้เงินที่ได้อาจไม่มากนักแต่ก็จะทำให้มีรายได้หมุนเวียน ถ้าชุมชนอยู่ไม่ได้เราก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
...

“เด็กกำพร้า เป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด รองลงมาคือพ่อแม่ตกงานยากจนเฉียบพลัน การฟื้นฟูเยียวยาต้องทำทันทีโดย กสศ. เน้นป้องกันเด็กหลุดนอกระบบการศึกษา จึงจัดให้มีทุนสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กในภาวะวิกฤติโควิด โดยมีcase manager วางแผนการช่วยเหลือรายคน อย่างน้อย 1,000 ทุน ถ้าเราไม่เริ่ม ในสถานการณ์ปีเศษๆ ที่ผ่านมาจะไม่มีใครดึงเด็กขึ้นมาจากความเงียบ ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ทำงานเพียง 4 หน่วยงานไม่ได้ เราจึงพร้อมระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนต่างๆ มาช่วยให้เด็กของเรารอด" ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

...
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียมีจำนวนเท่าไหร่ เนื่องจากความสามารถการเข้าถึงเด็กกลุ่มนี้ และสถานการณ์ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องและมีบางครอบครัวมีสมาชิกมากกว่า 1 คน ที่เสียชีวิต โดยการเสียชีวิตทั้งพ่อแม่ และผู้สูงอายุ จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ที่มีความเศร้าจากการสูญเสียคนที่รัก แต่ปฏิกริยาของเด็กไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ ที่ต้องการคนแวดล้อม มาช่วยทำให้ความเศร้าผ่านไป อีกทั้งการศึกษาจากหลายประเทศพบว่าผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลกระทบมากกว่าปกติ ทั้งการไม่มีโอกาสได้ร่ำลา จัดพิธีศพเต็มรูปแบบ ส่งผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม จากความสูญเสียที่เกิดขึ้นนี้ไม่อยากให้เด็กเกิดรู้สึกผิด เสียใจ หรือ ฝังใจจากความสูญเสีย แต่อยากให้เด็กผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปให้ได้ อีกทั้งการเสียชีวิตของ ทั้งพ่อและแม่ จะทำให้เด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่อีกต่อไป การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ก็จะยากลำบาก รวมไปถึงกลุ่มที่มีความยากลำบากมาก่อนหน้านี้แล้ว ต้องมาเสียผู้นำครอบครัวซ้ำเติมอีก ย่อมสร้างความหวั่นไหวมากกว่าเดิม

นางสาวนิโคล่า บลั้น รักษาการหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟประเทศไทย กล่าวว่า ในภาวะฉุกเฉินของเด็กทั่วโลก คิดว่า เด็กมีสิทธิที่จะต้องได้รับการดูแลโดยครอบครัว ซึ่งครอบครัวไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่อยู่กับเด็กแต่รวมถึงเครือญาติ ดังนั้นหากภาครัฐมีนโยบายที่สนับสนุนก็จะเป็นเรื่องดีที่ทำให้เด็กได้อยู่กับคนใกล้ชิด ขณะที่การแยกเด็กป่วยออกจากครอบครัวถือเป็นมาตรการสุดท้ายที่ควรทำ เพราะสิ่งที่ดีที่สุด คือ ให้คนในครอบครัวช่วยดูแลกันเอง อีกประเด็น คือ กลุ่มเด็กเสี่ยงและเด็กเปราะบางที่พ่อแม่เสียชีวิต ความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ราชการจะเข้ามาช่วยได้มาก คือ หาให้ได้ว่าเด็กกลุ่มนี้คือใคร และให้บริการที่เหมาะสม เพื่อป้องกันดูแลความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม อยากให้คำนึงถึงการดำเนินงานที่เหมาะสมกับทั้งตัวเด็กและครอบครัว และนำแนวคิดนี้มาใช้ในการทำงานทุกส่วนให้ทั่วถึง ในการตัดสินใจด้านนโยบายและการดำเนินการต่างๆ

นายคริส โปตระนันทน์ กลุ่มเส้นด้าย กล่าวว่า การมีศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ถือเป็นโครงการที่ดีและสวยงาม ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมาพบปัญหาเวลามีเด็กมาขอความช่วยเหลือทำได้ยากมาก เนื่องจากไม่มีกลไกรองรับการช่วยเหลือเด็กเอาไว้ อย่าง โรงพยาบาลสนาม ก็ไม่รองรับเด็ก โฮสพิเทล ก็ไม่รองรับเด็ก นี่คือ 2 สิ่งที่กลุ่มเส้นด้ายทำและเจอมา เพราะมีแต่หมอ General Practice ไม่มีหมอเด็กหรือหมอติดเชื้อที่จะเข้ามาดูแล ทุกครั้งที่มีเด็กติดเชื้อเราต้องขอให้โรงพยาบาลช่วยเหลือ และก็มีหลายแห่งให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี แต่บางที่ก็ไม่สามารถช่วยได้ ซึ่งเมื่อมีศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ถือเป็นการช่วยเหลือเด็กที่ดีมาก

นายคริส กล่าวว่า กลุ่มเส้นด้ายมี 4 กรณีที่ทางกลุ่มเส้นด้ายเจอมา คือ 1. แม่ติดลูกติด แม่ได้ที่รักษาแต่แม่ไม่ยอมปล่อยให้ลูกอยู่ลำพัง 2. ลูกติด แม่ไม่ติด สิ่งที่พบ คือ แม่ยอมเสียสละ ยอมติดโควิดเพื่อลูกเพื่อจะได้ดูแลลูก ซึ่งถ้าหน่วยงานราชการออกค่าใช้จ่ายตรงนี้ให้คุณแม่ได้ ยอมให้แม่ที่ไม่ติดเชื้อเข้าไปดูแลลูก ไม่ว่าจะใน รพ.สนาม หรือ Hospitel แล้วสามารถเบิกงบประมาณตรงนี้ได้จะดีมาก 3. แม่ติด ลูกไม่ติด ถ้าจะยอมให้ลูกที่ไม่ติดเชื้อเข้าไปด้วย ต้องมีผ้าอ้อม นมให้ดื่ม มีงบจัดสรรให้จะดีมาก และ 4. เด็กต่างด้าว หรือเด็กเป็นคนไทยแต่แม่เป็นต่างด้าว ถ้าราชการทุกฝ่ายมาแก้กฎระเบียบที่ติดขัดแก้ไขได้ ทางกลุ่มเส้นด้ายจะยินดีอย่างยิ่ง
“กรณีแม่ลูกติดโควิด เด็กจะหาโรงพยาบาลยาก แม่ไม่ยอมไปโรงพยาบาลเพราะรอให้ลูกได้ที่รักษา จนเป็นเหตุที่ทำให้แม่เกิดอาการที่รุนแรงจนถึงเสียชีวิต ถ้าแก้ปัญหาได้ พยายามให้เด็กเข้าไปรักษาด้วย เด็กจะกำพร้าน้อยลง พยายามทำให้เกิด Hospitel ที่ให้ครอบครัวเข้าไปได้เลย ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 จะช่วยเติมเต็มตรงนี้ได้ การส่งเด็กไปยังโรงพยาบาลสนาม ไม่ใช่ว่าแพทย์ไม่อยากรับคนไข้ คุณหมออยากรับแต่ไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์รับรองเด็ก” นายคริส กล่าว