นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทางทะเลจำนวนมาก รวมทั้งมีการนำและใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานฯ โดยจากข้อมูลทางวิชาการพบว่าสารเคมีหลายชนิดที่พบในครีมกันแดด มีส่วนทำให้ปะการังเสื่อมโทรมลง เนื่องจากสารเคมีไปทำลายตัวอ่อนปะการัง ขัดขวางระบบสืบพันธุ์ และทำให้ปะการังฟอกขาว กรมอุทยานฯ พิจารณาแล้วว่าเพื่อเป็นการสงวน อนุรักษ์ คุ้มครองดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อปะการังและระบบนิเวศในอุทยาน แห่งชาติ จึงออกประกาศ 1.ห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ได้แก่ Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3), Octinoxate (Ethylhexyl methoxycinnamate), 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC) และ Butylparaben หากผู้ใดฝ่าฝืน มีความผิดตามมาตรา 20 ประกอบมาตรา 47 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 โทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และ 2.ให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ เป็นต้นไป

ด้านนายดำรัส โพธิ์ประสิทธิ์ ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวสามารถช่วยอนุรักษ์ปะการังและท้องทะเลไทยได้ ด้วยการเลือกใช้ครีมกันแดดผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยสมาคมผู้ฝึกสอนดำน้ำอาชีพ และผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศหลายแห่งแนะนำให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงการใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Oxybenzone และใช้เฉพาะครีมกันแดดที่ใช้สินแร่เป็นฐาน เช่น Zinc Oxide ซึ่งไม่ละลายน้ำและตกตะกอนสู่ก้นทะเลได้อย่างปลอดภัย
หากช่วยกันลดผลกระทบจากมนุษย์ในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ไม่เหมาะสม และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ไม่ทำลายปะการังนั่น หมายถึงการมีส่วนช่วยต่อลมหายใจและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับปะการังยืนหยัด รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากสภาวะโลกร้อนได้ดีขึ้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งประกาศข้อห้ามเรื่องครีมกันแดดออกมา การใช้สารอันตรายต่อปะการังอย่างแพร่หลาย จะไม่มีโอกาสให้สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่โตแค่เฉลี่ยปีละ 10 ซม. และบางชนิดโตเฉลี่ยแค่ปีละ 1-2 ซม. มีชีวิตรอดต่อไป.

...