ท่ามกลางการระบาดโควิด-19 โหมกระหน่ำ “คนทั้งประเทศ” ต่างตื่นกลัวกับยอดผู้ป่วยรายวันทะลุหมื่นคนจนไม่กล้าออกบ้าน คงมีเฉพาะ “คนไร้บ้าน” ยังใช้ชีวิตร่อนเร่ลำพังอาศัยอยู่ริมทางเท้า สถานที่สาธารณะที่ว่างรกร้างเป็นที่หลับนอนเผชิญ “เชื้อโรคร้ายโควิด–19” อยู่อย่างโดดเดี่ยว

กลายเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่ไม่เคยได้รับสิทธิสวัสดิการของรัฐ โดยเฉพาะ “การเข้าถึงการตรวจหาเชื้อ...ฉีดวัคซีน” จากข้อจำกัดเงื่อนไข “ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน” อันเป็นหลักฐานยืนยันสถานะบุคคล จนมีภาพเหตุการณ์ “คนไร้บ้านติดเชื้อโควิดนอนเสียชีวิตริมถนน” สร้างความหดหู่ให้สังคมไทยเสมือนสะท้อน “ปัญหาคนไร้บ้าน” ยังไม่ได้รับการดูแลจากหน่วยงานรัฐที่ต้องคำนึงถึงสุขภาวะของคนไร้บ้านในช่วงโควิดระบาดด้วยการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ “รับการคัดกรอง และจัดหาวัคซีน” เท่าเทียมกับคนไทยทุกคน
เรื่องนี้ถึงหู “นายกรัฐมนตรี” กำชับย้ำหนักแน่นต้องไม่มีภาพประชาชนนอนรอความช่วยเหลือ ต้องไม่ให้มีภาพคนนอนเสียชีวิตริมถนนอีกส่งผลให้ “หน่วยงานรัฐบูรณาการ” ปูพรมพูดคุยคนไร้บ้านใช้ชีวิตในที่สาธารณะ เช่น อนุสาวรีย์ชัยฯ ถนนราชดำเนิน หัวลำโพง ปทุมวัน รพ.กลาง เยาวราชสวนรมณีนาถ วัดบวรฯ
...
เชิญชวนให้เข้ารับการคุ้มครอง “บ้านปันสุข (ธนบุรี) และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งกรุงเทพฯ” แต่กลับไม่มีผู้เข้ารับการคุ้มครองกันเลยด้วยซ้ำ

คนไร้บ้านเผชิญโรคระบาดสะท้อนความทุกข์ผ่าน สิทธิพล ชูประจง หน.โครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา เล่าว่า ปี 2563 ภาครัฐสำรวจสถิติคนไร้บ้านหน้าใหม่ในกรุงเทพฯ ช่วงโควิดเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2562 ปีนี้เดือน พ.ค. “มูลนิธิกระจกเงา” มีการสำรวจใหม่ พบสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว 60% แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก...ผู้รับผลกระทบเศรษฐกิจ 30% ถูกเลิกจ้างไม่มีรายได้ ไร้เงินจ่ายค่าเช่าบ้าน กลุ่มที่สอง...“ปัญหาครอบครัวอยู่ที่บ้านไม่ได้ 30%” ด้วยการทะเลาะกันในครอบครัว และสภาพฐานะความยากจน
...เป็นปัจจัยผลักดันให้ออกมา “เร่ร่อน” นอกบ้านระยะหนึ่งแล้วสามารถปรับตัวเรียนรู้วิธีหาของกิน และการเอาตัวรอดกับสิ่งแวดล้อม กลายเป็น “คนไร้บ้าน” โดยปริยายตามมานี้
แหล่งหลักจุดพักอาศัยมักอยู่ในเขตพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ถนนราชดำเนิน หัวลำโพง เยาวราช และสุขุมวิท แม้ในช่วงนี้มี “ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ และเคอร์ฟิว” แต่ว่า “คนไร้บ้าน” คงอาศัยอยู่นอกบ้านข้างถนนเช่นเดิม ด้วยการพยายามเคลื่อนย้ายตัวให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของเจ้าหน้าที่รัฐตามมา
ส่วน “อาหารการกิน” ต้องพึ่งพาอาศัยจาก “วัด มูลนิธิ สภาสังคมสงเคราะห์ ผู้ใจบุญ” หยิบยื่นความช่วยเหลือแบ่งปันสิ่งของอาหารให้ได้กินอิ่มท้องทุกวัน แต่ด้วย “โควิดระบาดหนัก” ทำให้จุดที่เคย “แจกอาหารฟรี” ต้องปิดแจกลงคงเหลืออยู่เพียง 3 จุดหลัก คือ ถนนราชดำเนิน หัวลำโพง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิคนไร้บ้านต่างพากันไปกระจุกตัวรอรับของบริจาคจนเป็นความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคต่ออีกทว่าเรื่อง “มาตรการป้องกันโรค” ปกติการดูแลสุขภาพอนามัยคนกลุ่มนี้ไม่ดีพออยู่แล้ว เพราะต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่ข้างถนนตามพื้นที่สาธารณะ แม้แต่ “อาบน้ำชะล้างร่างกาย” ก็อาศัยน้ำคลองที่ค่อนข้างสกปรก ดังนั้นเรื่องนี้เป็นสิ่งยากที่เขาจะสามารถปฏิบัติตัวยึดมาตรการเว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากได้
กระนั้นก็ดีแม้ “คนไร้บ้าน” อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ถูกสุขลักษณะเลวร้ายก็รู้สึก “หวาดกลัวติดเชื้อโควิดไม่ต่างจากคนทั่วไป” มีความพยายามดิ้นรนหาทางรอดช่วยเหลือตัวเองอยู่เสมอ แต่ด้วย “สภาพชีวิตความเป็นอยู่” แทบไม่มีช่องทางเข้าถึง “หน่วยงานภาครัฐ” ในการเรียกร้องคุ้มครองให้มีความปลอดภัยได้
อันเกิดจากปัจจัยไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน...หลักฐานแสดงสถานะบุคคล จึงไม่อาจดิ้นรนหันหน้าพึ่งใครได้จำต้องยอมรับชะตากรรมป้องกันเอาตัวรอดแบบตามมีตามเกิดเท่าที่ทำกันได้

...
ยิ่งกว่านั้นโรคระบาดนี้ตอกย้ำ “คนไร้บ้านตกงานไม่มีรายได้” ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะจริงๆแล้ว “คนไร้บ้านมากกว่า 70-80% ทำงานมีรายได้” อันเป็นลักษณะรับจ้างทั่วไป
ด้วยช่วงกลางวันทำงาน และกลางคืนก็หลับนอนตาม บขส. สถานีรถไฟ เพราะมีความปลอดภัย มีห้องน้ำไว้อาบน้ำ และซักผ้าได้ ทำให้พอมีรายได้เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ได้มากพอสร้างความมั่นคงในชีวิต หรือเช่าห้องพักอาศัยได้เท่านั้น แต่คนมักเข้าใจว่า “คนไร้บ้านขี้เกียจไม่มีงานทำ” กันไปเองเท่านั้น
ประเด็น “การเข้าถึงระบบสาธารณสุข” ที่เป็นปัญหามานานมาก ทำให้ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยงติดเชื้อแพร่ระบาดค่อนข้างสูง สังเกตจากต้นเดือน ก.ค.นี้ “ภาครัฐ และเครือข่ายภาคประชาสังคม” ตรวจคัดกรองเชิงรุกให้คนไร้บ้านราว 100 คน ปรากฏพบ “ผู้ติดเชื้อ 10 กว่าคน หรือคิดเป็นร้อยละ 10” ด้วยซ้ำ
แสดงให้เห็นว่า “เชื้อโควิด” ลุกลามระบาดในกลุ่มคนไร้บ้านแล้ว ดังนั้น ควรเน้นตรวจคัดกรองเชิงรุกครอบคลุมคนไร้บ้านให้มากกว่านี้ เพราะสิ่งที่ “ภาครัฐ” กำลังทำอยู่ค่อนข้างน้อยมาก
ตอกย้ำ “วัคซีนสำหรับคนไร้บ้าน” เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากมากๆ เพราะในสถานการณ์ปกติแทบไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ทางตันเสมอไปเพราะ “กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ” พยายามจัดหาวัคซีนฉีดให้คนไร้บ้าน 100 คน และ “ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์” ได้จัดสรรวัคซีนสนับสนุน 100 คน
ปัญหามีว่า...“ฉีดวัคซีนเข็มแรก” แล้ว “เข็มที่สอง” จะฉีดกันอย่างไร...? เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ร้อยละ 70 ในกลุ่มคนไร้บ้านที่มีอยู่พื้นที่กรุงเทพฯ 2,000 คน เพราะไม่มีที่อยู่หลักแหล่งเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆนี้ได้
...
มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็น “คลัสเตอร์คนไร้บ้าน” แพร่กระจายเชื้อติดต่อกันในกลุ่มคนไร้บ้าน ส่วนใหญ่มักเป็น คนมีโรคประจำตัว สุขภาพไม่แข็งแรง ผู้สูงอายุมากถึง 70% อันมีความเสี่ยงต่ออาการป่วยรุนแรงจนนำมาสู่ซึ่ง “อัตราการเสียชีวิต” ที่อาจมีผู้ป่วยนอนตายข้างถนนเพิ่มขึ้นก็ได้ จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด

แต่การระบาดในกลุ่มคนไร้บ้านคงไม่ลุกลามออกไปสู่ “กลุ่มอื่นในสังคม” เพราะคนกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยง “คนทั่วไปน้อย” จากสถานะความเป็นอยู่ที่ไม่มีสังคมเพื่อนฝูงเลยด้วยซ้ำ
“ตอนนี้การดูแลคนไร้บ้านจาก “ภาครัฐ” ไม่จริงใจแก้ปัญหาแท้จริง ลักษณะทำแบบขยักขย่อนเสมือนจัดอีเวนต์มากกว่าสร้างกลไลการป้องกันให้อยู่กันอย่างความปลอดภัยได้จริงๆ ควรเร่งสร้างเกราะป้องกันภัย “คัดกรอง ฉีดวัคซีน” ในการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมเหมือนดังต่างประเทศปฏิบัติกัน” สิทธิพลว่า
ถ้าเทียบกับ “สหรัฐอเมริกา” มีการเช่าโรงแรมให้ “คนไร้บ้านพักฟรี” จากการถอดบทเรียนที่เคย “เปิดโกดังร้างไม่ใช้งาน” ให้คนไร้บ้านเข้ารับการคุ้มครองดูแลอยู่ร่วมกัน พบว่ามีความเสี่ยงโอกาสเกิดการระบาดภายในเช่นเดิม จึงเปิดโรงแรมให้อาศัยอยู่กันเป็นสัดส่วนง่ายต่อการควบคุมระบบระเบียบที่ดีตามมา
...

ย้ำว่า “การคัดกรอง และฉีดวัคซีนในต่างประเทศ” มักให้บริการแบบถึงที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด โดยที่ไม่สนใจเกี่ยวกับ “เอกสาร สถานะบุคคล” สิ่งสำคัญในต่างประเทศมักมอง “เรื่องความปลอดภัยให้มนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน” เพื่อสร้างเกราะป้องกันการระบาดโรคโควิดอย่างแท้จริงนี้
ย้อนกลับมา “ประเทศไทย” แทบมองไม่เห็น “ที่พักอาศัยเฉพาะของคนไร้บ้านกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ” แต่เท่าที่ทราบในการประชุมหน่วยงานผู้รับผิดชอบล่าสุดก็มี “ผู้เสนอความคิด” แนวทางการเช่าโรงแรมให้คนไร้บ้านอยู่อาศัยฟรี และ Hospitel รับผู้ป่วยโควิดคนไร้บ้าน แต่ก็ไม่แน่ใจจะสามารถทำได้ในเร็ววันนี้หรือไม่
ในช่วงนี้ทราบว่า “หน่วยงานรัฐ” พยายามเชิญชวน “คนไร้บ้าน” เข้าไปอยู่ในการคุ้มครอง แต่มีผู้สมัครใจหลักหน่วยจากยอดเชิญชวนหลักร้อยคน เพราะ “เขารู้สึกแอนตี้สถานสงเคราะห์ของรัฐ” อันเกิดจากกฎระเบียบ โดยเฉพาะกระแสเกี่ยวกับการถูกกระทำ โดนดูถูก กดดันกดขี่...ถ้าเลือกได้เขาขอนอนข้างถนนดีกว่า
วิกฤตินี้ “คนไร้บ้านเป็นกลุ่มเปราะบาง” ต้องถูกบรรจุในสมการให้ได้รับคุ้มครองปกป้อง มีสิทธิเข้าถึงบริการสุขภาพเหมือนคนไทยทุกคน “โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แล้วเราผ่านวิกฤติไปด้วยกัน.