สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจและหลายท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกัน เกี่ยวกับแฟนเพจท่านหนึ่งได้มาปรึกษาเกี่ยวกับการถูกยึดคอนโดและถูกบังคับคดียึดคอนโดออกขายทอดตลาด โดยเป็นหนี้ค่าส่วนกลางประมาณ 200,000 บาท มูลค่าคอนโดอยู่ที่ 6,000,000 บาท ขายทอดตลาดเสร็จมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 3,000,000 บาทเศษ
เมื่อขายคอนโดได้แล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดนั้น ไปหักชำระหนี้ตามคำพิพากษาก่อน หากมีเงินเหลือจากการขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดี จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้ไปรับเงินที่เหลือจากการบังคับคดี
สอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นทราบว่า แฟนเพจรายนี้ ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องจากศาล รวมถึงไม่เคยได้รับหมายคำบังคับ หรือหมายแจ้งการยึดคอนโดแต่อย่างใด สาเหตุเพราะแฟนเพจรายนี้ได้ย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง แต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านตามไปด้วย ประกอบกับไม่เคยกลับไปพักที่คอนโดเลย เป็นระยะเวลากว่าสองปี และไม่ได้ชำระค่าส่วนกลางมาแล้วสองปีเช่นกัน เป็นเหตุให้นิติบุคคลคอนโดจะต้องยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระค่าส่วนกลาง และบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ มาชำระหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระตามกฎหมาย
ประเด็นสำคัญ คือ กรณีแบบนี้จะดำเนินการแก้ไขอย่างไร
ในกรณีที่ถูกฟ้องในคดีแพ่ง แต่จำเลยไม่ได้ไปศาล หรือไม่ได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด เนื่องจากไม่ทราบว่าตัวเองถูกฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จัตวา จำเลยสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
กรณีที่มีพฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ ให้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นสิ้นสุดลง
...
ทั้งนี้ ห้ามมิให้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ เมื่อพ้นกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์ หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษา
แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระบวนการขายทอดตลาดเสร็จสิ้น จนเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ไปรับเงินส่วนที่เหลือจากการบังคับคดี กรณีจึงถือว่ากระบวนการตามกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว ไม่สามารถยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ได้ คดีนี้ ถือว่าน่าเสียดายมาก เนื่องจากการนำทรัพย์ออกขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีจะยึดถือเอาราคาของราชการ ซึ่งค่อนข้างจะต่ำกว่าราคาขายตามท้องตลาดเป็นอย่างมาก
กรณีที่ย้ายที่พักอาศัย แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ถือเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ หากดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6627/2544
จำเลยเคยพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 213 จังหวัดชลบุรี ตามฟ้องและจำเลยมีที่อยู่ทางทะเบียน ณ บ้านดังกล่าวตลอดมา การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์ ส่งได้โดยวิธีปิดหมายไว้ ณ บ้านดังกล่าว แต่จำเลยไม่ได้อยู่อาศัยที่บ้านหลังนี้มากกว่า 10 ปีแล้ว โดยไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 518/136 กับ บ้านเลขที่ 81/6 และไปๆ มาๆ ระหว่างบ้าน 2 หลังนี้โดยไม่ได้กลับไปที่บ้านเลขที่ 213 อีกเลย แต่ยังมิได้ย้ายทะเบียนออกจากบ้านหลังนี้ กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยมีภูมิลำเนาหลายแห่ง ดังนี้ แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยโดยการปิดหมายไว้ ณ บ้านเลขที่ 213 ดังกล่าว จะเป็นการส่งโดยชอบก็ตาม แต่ปัญหาว่าการส่งหมายเป็นไปโดยชอบหรือไม่กับปัญหาว่าจำเลยจงใจขาดนัดหรือไม่ เป็นคนละเรื่องกัน เมื่อจำเลยไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์ และจำเลยไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้องนี้ จึงไม่อาจถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา กรณีมีเหตุสมควรอนุญาตให้พิจารณาใหม่ตามคำขอของจำเลย
เรื่องนี้ น่าจะเป็นอุทาหรณ์เป็นอย่างดี ทะเบียนบ้านหรือที่อยู่ในการใช้ติดต่อสำคัญมาก หากย้ายที่พักอาศัยควรแจ้งเปลี่ยนแปลงทะเบียนบ้านด้วย เว้นแต่มีคนอยู่ประจำ ก็จะมีคนคอยส่งข่าวได้บ้าง เคสนี้ถือว่ายังโชคดีที่คดีนี้เป็นเพียงคดีแพ่ง หากเป็นคดีอาญาอาจจะถูกออกหมายจับก็เป็นไปได้ครับ
สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ
Facebook: ทนายเจมส์ LK
Instagram: james.lk