• วัคซีน "แอสตราเซเนกา" แนะวิธีเตรียมตัว อาการหลังฉีด และผลข้างเคียง
  • เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "แอสตราเซเนกา" ผลข้างเคียงหลังการฉีด
  • ไขข้อสงสัย ทำไมวัคซีน "แอสตราเซเนกา" เข็ม 2 ต้องเว้นช่วงนาน

"แอสตราเซเนกา" (AstraZeneca) หรือ AZ กลับมาเป็นที่สนใจของคนไทยอีกครั้ง หลังจากวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อดังกล่าว ที่ผลิตโดย บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ของประเทศไทย ผ่านคุณภาพการตรวจจากแอสตราฯโกลบอล และได้ทำการส่งมอบวัคซีนลอตแรกได้ตามกำหนด 1.8 ล้านโดส ก่อนวันคิกออฟฉีดวัคซีน 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ทำความรู้จัก "แอสตราเซเนกา"

"แอสตราเซเนกา" เป็นวัคซีนบริษัทลูกครึ่ง "สวีเดน-อังกฤษ" ถูกใช้อย่างน้อย 165 ประเทศทั่วโลก โดยแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนแบบเทคนิค "ไวรัลเวกเตอร์" (Viral vector) ผลิตจาก "เชื้อไวรัสชิมแปนซีอะดีโน" ใช้ไวรัสเป็นพาหะพัฒนา โดยการนำไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงแล้ว ฝากสารพันธุกรรมของโควิด-19 เข้าไป ซึ่งทำให้ไม่สามารถแบ่งตัว และไม่สามารถก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ นอกจากนี้วัคซีนชนิดที่ใช้เทคนิคไวรัลเวกเตอร์ ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี เพราะใช้วิธีการเลียนแบบการติดเชื้อที่ใกล้เคียงธรรมชาติ โดยนอกจากวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ใช้วิธีนี้แล้ว วัคซีนอื่นๆ ที่ผลิตด้วยวิธีนี้ยังมี จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ สปุตนิก วี

...

สำหรับประสิทธิภาพนั้น "แอสตราเซเนกา" สามารถป้องกันการติดเชื้อทุกแบบได้ 54.1% ป้องกันโรคแบบแสดงอาการ 70.4% ป้องกันโรครุนแรง-ถึงขั้นเสียชีวิตได้ 100% แต่ยังป้องกันโรคแบบไม่มีอาการไม่ได้ โดยมีการกำหนดให้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา จำนวน 2 เข็ม ระยะเวลาห่างกัน 10-16 สัปดาห์

 การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน

  • เป็นผู้ที่ไม่มีอาการไข้ขึ้นสูงเกิน 37.5 องศาฯ ในวันที่เข้ารับการฉีดวัคซีน
  • ไม่มีโรคประจำตัวขั้นรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมโรคได้ ได้แก่ โรคความดัน โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง กลุ่มโรคระบบประสาท กลุ่มโรคเบาหวานและโรคอ้วน
  • ไม่มีประวัติแพ้ยา หรือสารประกอบในกลุ่มที่ระบุ
  • ผู้มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ความผิดปกติในการแข็งตัวของเกล็ดเลือด หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด สามารถฉีดวัคซีนได้ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

อาการข้างเคียงที่พบทั่วไปหลังฉีดวัคซีน

  • 60% มีอาการเจ็บบริเวณที่ฉีด
  • 50% มีอาการปวดศีรษะ และอ่อนเพลีย
  • 40% มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว
  • 30% มีอาการไข้ หนาวสั่น
  • 20% มีอาการปวดข้อ และคลื่นไส้

อาการขั้นรุนแรงหลังฉีดวัคซีน ที่ต้องรีบพบแพทย์! 

  • แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก
  • ใจสั่น หน้ามืด ตาพร่า คลื่นไส้อาเจียนขั้นรุนแรง
  • ปากบวม หน้าแดง ตัวแดง ผื่นขึ้น หรือคันทั่วร่างกาย
  • มีไข้สูงหนาวสั่น

นอกจากนี้ เพจ "เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล" ยังระบุถึงการเกิด "ลิ่มเลือดอุดตัน" หลังการฉีดแอสตราเซเนกา ไว้อย่างน่าสนใจว่า "การเกิด "วัคซีนกระตุ้นภาวะลิ่มเลือดอุดตัน" ที่เห็นข่าวจากต่างประเทศ โอกาสโดยรวมคือ 1 ในล้านคนที่รับวัคซีน ส่วนในประเทศไทย เรื่องนี้มีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญว่า โอกาสเกิดคงจะน้อยมาก น้อยกว่าในยุโรป เนื่องจากผลเรื่องพันธุกรรม แต่เมื่อเริ่มฉีด เราก็ต้องช่วยกันสังเกตอาการ ทั้งนี้สำหรับคนอายุไม่มาก หลังฉีดแอสตราเซเนกา อาจจะพบอาการไม่พึงประสงค์ที่หนักหน่อย เช่น ไข้สูง ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย น่าจะเจอได้มากกว่า "ซิโนแวค" (SinoVac) เพราะการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจะมากกว่า

...

ส่วนอาการที่ต้องระวังว่าเกิดลิ่มเลือดอุดตันหรือเปล่านั้น ก็จะมีอาการได้ตามอวัยวะที่เกิดลิ่มเลือด โดยมักจะมีอาการได้ตั้งแต่ 4-28 วัน หลังการฉีด หากมีลิ่มเลือดในสมองก็จะมีอาการปวดหัว มักจะปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือแขนขาอ่อนแรงได้ หากเกิดลิ่มเลือดในปอด ก็จะทำให้มีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ดังนั้นหลังฉีดวัคซีน 4 วันขึ้นไปแล้วมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

เคลียร์ข้อสงสัย! ทำไมฉีด AZ เข็ม 2 ต้องทิ้งช่วงนาน?

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ไขข้อสงสัยประเด็นดังกล่าวว่า "จากการศึกษาในการวิจัยทางคลินิก เดิมระยะห่างการให้วัคซีนแอสตราเซเนกา หรือ AZ อยู่ที่ 4 สัปดาห์ เมื่อทำการศึกษาระยะที่ 3 ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกันมากกว่า 6 สัปดาห์ ถึง 12 สัปดาห์ ได้ผลภูมิต้านทานและประสิทธิภาพดีกว่าผู้ที่ได้รับห่างกันน้อยกว่า 6 สัปดาห์ ในการใช้จริงที่ "อังกฤษ" ในช่วงที่มีโรคระบาดมาก และวัคซีนไม่เพียงพอ อังกฤษจึงยืดระยะห่างของการให้วัคซีนเข็มที่ 2 ออกไปอีกถึง 16 สัปดาห์ เพื่อให้ประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเข็มแรกให้มากที่สุด ไม่ต้องให้แรงงานมาพะวงกับการฉีดเข็มที่ 2 จะได้ปูพรมเข็มแรกได้กว้างที่สุด เพื่อระงับการระบาด 

...

ผลการศึกษาใน "สกอตแลนด์" พบว่า การให้ AZ เพียงเข็มเดียว มีประสิทธิภาพถึง 80% การให้เข็มที่ 2 จะเพิ่มประสิทธิภาพเป็น 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ เห็นว่าเข็ม 2 เพิ่มประสิทธิภาพก็จริง ถ้าเปรียบเทียบกับการปูพรมเข็มแรกให้มากที่สุดแล้ว ค่อยเติมเข็ม 2 น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า ในการควบคุมการระบาดของโรค โดยหลักของวัคซีนการทิ้งระยะห่าง ยิ่งห่างนานก็จะกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีกว่า ระดับภูมิต้านทานหลังเข็ม 2 จะสูงกว่า ในการหวังผลให้อยู่นาน การยืดเข็ม 2 ออกไปจะมีข้อเสียตรงที่ว่า ประสิทธิภาพจะสู้การให้ 2 เข็มไม่ได้ ต้องคำนึงคือถ้ามีเชื้อกลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ "แอฟริกาใต้" (Beta) วัคซีนทั่วไปประสิทธิภาพลดลงอยู่แล้ว ก็อาจจะป้องกันไม่ได้ แต่สายพันธุ์ "อังกฤษ" และ "อินเดีย" ไม่น่าจะมีผลมาก 

ดังนั้น "ประเทศไทย" อยู่ในช่วงการระบาดขาขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในการควบคุมโรคให้เร็วที่สุด จำเป็นที่จะต้องให้ AZ วัคซีนปูพรมในแนวกว้างให้มากที่สุดก่อน โดยต้องระดมทรัพยากรทั้งหมด รวมทั้งวัคซีนมาใช้ในการให้วัคซีนเข็มแรก ภายใน 16 สัปดาห์ ประชากรส่วนใหญ่ทั้งประเทศก็จะได้วัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม แล้วค่อยไปเติมเข็มที่ 2 ภูมิต้านทานจะสูงขึ้นและอยู่ได้นาน 

"สิ่งสำคัญในระหว่างนี้ จะต้องเฝ้าระวังสายพันธุ์กลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่อาจจะสร้างปัญหาในระดับที่ภูมิต้านทานยังไม่สูงมากเกิดขึ้นได้ ส่วนสายพันธุ์อังกฤษและอินเดียนั้น ไม่น่าจะมีปัญหา การควบคุมการระบาดในประชากรหมู่มาก ทั้งประเทศไทยในภาวะที่ทรัพยากรที่จำกัด จึงจำเป็นที่จะต้องมีการวางแผน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม ดังนั้นการกำหนดระยะห่างไปที่ "16 สัปดาห์" จึงเป็นการทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทยในภาพรวม".

...

เรียบเรียงโดย : หงเหมิน

กราฟิก : Sathit chuephanngam