- "โควิดฯ" ทำเศรษฐกิจทรุด หลายธุรกิจปิดตัว ทำคนตกงานเพิ่ม
- พิษ "โควิดฯ" ทำชั่วโมงลด รายได้หด ตกงานพุ่ง หนี้ครัวเรือนเพิ่ม
- "โควิดฯ" ทำอัตราตกงานพุ่ง 2 เท่า หนี้ครัวเรือนท่วม จี้เร่งควบคุมการระบาด
"ขนหัวลุก" เห็นตัวเลข "นิวไฮ" ติดโควิดระลอก 3 แฝงอยู่ตาม "นิวคลัสเตอร์" ผุดลามเป็นดอกเห็ด ตามแคมป์ก่อสร้าง ชุมชน โรงงาน ใน กทม. และต่างจังหวัด พาอาการ "แพนิก" กำเริบ ในสถานการณ์ถูกไวรัสล้อมเมือง ท่ามกลางความ "แตกตื่น-โกลาหล" ของคนในชาติ ความหวังหนึ่งเดียวคือ "วัคซีน" ที่ตอนนี้มีเพียงตัวเลข แต่ของจริงยังขาดมหาศาล !!!
จากการระบาด 3 รอบในไทยที่ผ่านมา ระยะเวลากว่า 1 ปี ทำให้หลากหลายธุรกิจได้รับผลกระทบ บางที่ต้องปิดชะลอตามมาตรการของรัฐ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลกระทบต่อลูกจ้างแรงงาน แต่บางที่ไปต่อไม่ไหว ถึงขั้นหยุดหายใจ ต้องปิดกิจการ ทำหลายคนอยู่ในสภาพ "ตกงาน" โดยข้อมูลจาก "กระทรวงแรงงาน" เปิดเผยว่า ตั้งแต่การระบาดระลอกแรก (ม.ค.63-มี.ค.64) มีผู้ประกันตน "ว่างงาน" จำนวน 1,181,576 คน กลับเข้ามาในระบบ 405,857 คน และมีผู้ประกันตนใหม่เข้ามาในระบบอีก 378,383 คน เมื่อรวมผู้ประกันตนที่กลับเข้าสู่ระบบ และผู้ประกันตนรายใหม่ จะมีทั้งหมด 803,193 คน ดังนั้นขณะนี้จะมีผู้ตกงานที่แท้จริง จำนวน 378,383 คน แต่การระบาดรอบ 3 นี้ สาหัสกว่า 2 ครั้งแรกมาก หากปล่อยไว้นานอาจทำให้ตัวเลขคนตกงานเพิ่มมากขึ้น
...
"โควิด" ทำอัตรา "ว่างงาน" พุ่งพรวดเพิ่ม 2 เท่า
รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า เศรษฐกิจเป็นอุปสงค์สำคัญต่อตลาดแรงงาน เมื่อเกิดการระบาดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลายครั้งที่มีแนวโน้มสถานการณ์ดีขึ้น เศรษฐกิจยังไม่ทันฟื้นฟู การระบาดระลอกใหม่กลับมาอีก ทำให้อัตราการว่างงานในปี 2563 หลังไตรมาส 1 มีการว่างงานเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส 2 เท่า รวมมากกว่า 7 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราว่างงาน 1.9% ถึง 2.0% ซึ่งสูงกว่าปี 2562 มากกว่า 2 เท่า
"อย่างไรก็ตาม แม้การว่างงาน อาจจะดูไม่สูงมากตามมาตรฐานไทยที่เคยเกิดวิกฤติ แต่เกิดปัญหาที่ค่อนข้างมากเหมือนกัน เนื่องจากกำลังมีแรงงานจบใหม่อีกจำนวน 3 แสนคน ที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน แต่ตอนนี้ยังมีอุปทานเศรษฐกิจยังไม่ขยาย ผู้ประกอบการยังไม่ฟื้น ทำให้ไม่สามารถรับแรงงานใหม่เข้ามาได้มากนัก ทั้งที่ปกติแรงงานใหม่จะถูกดูดซับเข้าระบบแรงงานกว่าครึ่ง"
ชั่วโมงทำงานลด รายได้หด ส่อตกงานพุ่ง
ขณะที่ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ หรือ สศช.) เปิดเผยถึงภาวะสังคมไทยไตรมาสแรก ปี 2564 ไว้อย่างน่าสนใจว่า การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น มีผู้มีงานทำ 37.6 ล้านคน เพิ่ม 0.4% เพราะการขยายตัวของการจ้างงานภาคเกษตรกรรม ที่ดูดซับแรงงานบางส่วนที่ถูกเลิกจ้างจากภาคอื่นๆ ขณะที่นอกภาคเกษตรกรรม จ้างงานลดลง 0.6% โดยสาขาการผลิตอุตสาหกรรม จ้างงานลด 2.2% ส่วนภาคบริการ จ้างงานลด 0.7% โดยสาขาการขายส่ง/ขายปลีก ลด 1% สาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า ลด 0.4% และสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลด 0.2%
สำหรับชั่วโมงทำงานรวมอยู่ที่ 40.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลด 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 การทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นถึง 129.1% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 จากผู้มีงานทำเพิ่มขึ้น แต่ชั่วโมงทำงาน "ลดลง" สะท้อนการจ้างงานและการทำงานที่ไม่เต็มเวลา ซึ่งจะทำให้แรงงานมี "รายได้" ลดลง ด้านการว่างงานมี 760,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.96% สูงขึ้นอีกครั้งหลังจากชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2563
"ชั่วโมงการทำงานลดลง สะท้อนว่าแรงงานมีรายได้ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ว่างงานจากผลกระทบของโควิด-19 มีแนวโน้มเป็นผู้ว่างงานระยะยาวมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อรายได้ โดยแรงงานในระบบที่ถูกเลิกจ้างจำนวนมาก กลายเป็นแรงงานนอกระบบ ที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง และขาดหลักประกันทางสังคม"
...
"SMEs-ท่องเที่ยว-นักศึกษาจบใหม่" เสี่ยงตกงานสูง
เลขาธิการ สศช. กล่าวต่อว่า ผลกระทบของโควิดฯ ระลอกใหม่ ที่ยืดเยื้อและรุนแรง อาจทำให้เศรษฐกิจไม่ขยายตัวตามเป้าหมาย และแรงงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม "ตกงาน" มากขึ้น หรือถูกลดชั่วโมงการทำงานมากขึ้น ส่วนแรงงานภาคท่องเที่ยวกว่า 7 ล้านคน ก็อาจถูกเลิกจ้างมากขึ้น อีกทั้งการที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย จะทำให้ผู้ประกอบการเลื่อนการขยายตำแหน่งงานใหม่ออกไป ซึ่งกระทบการหางานของนักศึกษาจบใหม่ ปี 2564 ราว 490,000 คน ขณะที่โครงการจ้างงานกลุ่มผู้จบใหม่ และแรงงานคืนถิ่นภายใต้ พ.ร.ก.เงินกู้ ในปี 2563 ซึ่งมีระยะเวลาจ้างงาน 12 เดือนนั้น กำลังจะสิ้นสุดลง และอาจกระทบต่อแรงงานภายใต้โครงการ 140,000 ตำแหน่ง
หนี้ครัวเรือนพุ่ง ระวังก่อหนี้นอกระบบ
ส่วนหนี้ครัวเรือน ข้อมูลล่าสุดไตรมาส 4/63 มีมูลค่า 14.02 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% จาก 4% ในไตรมาส 3/63 สัดส่วน 89.3% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว ซึ่งต้องเฝ้าระวัง เพราะสัดส่วนสินเชื่อค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน (สินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ) ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่แนวโน้มก่อหนี้ของครัวเรือนในปี 2564 คาดยังอยู่ในระดับสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และครัวเรือนต้องประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อย ทำให้ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอาจปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงต้องเฝ้าระวังการก่อหนี้นอกระบบ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการจ้างงาน อย่างต่อเนื่อง เพื่อครอบครัวมีรายได้ และสามารถรักษาการบริโภคไว้ในระดับเดิม
...
เรียบเรียงโดย : หงเหมิน
กราฟิก : sathit chuephanngam