• รู้จัก "อสม." ไม่ใช่แค่งานช่วยเหลือผู้อื่น แต่ต้องทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี
  • คุยกับ "จันทร์ฉาย สุภากาวี" ประธาน อสม. จ.ลำปาง ควบตำแหน่งนายกเทศบาล เล่าประสบการณ์ทำงาน 30 ปี
  • งาน อสม. ทำด้วยใจ มีเพียงค่าป่วยการ 1,000 บาท คุ้มไหมกับความเสี่ยงโควิด-19

เมื่อพูดถึง อสม. หลายคนคงจะคุ้นเคย เวลามีคนมาแจกทรายอะเบท รณรงค์ให้ชุมชนปลอดลูกน้ำยุงลาย บางครั้งจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเบื้องต้น หรือบางครั้งเวลาเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็จะไปขอยาจาก อสม. ซึ่งตัวของ อสม. เอง ก็คือคนที่ในชุมชนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี

แต่รู้หรือไม่ว่าการทำงานของ อสม. หรือชื่อเต็มๆ คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านนั้น ทำหน้าที่อะไรกันแน่ ที่สำคัญคือตั้งแต่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ทางกระทรวงสาธารณะสุข (สธ.) ได้มอบหมายให้ อสม. มีส่วนร่วมในการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโควิด-19 และสำรวจความต้องการในการฉีดวัคซีน

รู้จัก อสม. ทำงานเพื่อชุมชน มีความสุขที่ได้ช่วยคนอื่น

จากการสอบถาม นางจันทร์ฉาย สุภากาวี ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดลำปาง และนายกเทศบาลวังพร้าว เปิดเผยถึงบทบาทหน้าที่ของ อสม. คือ แจ้งข่าวร้าย กระจายข่าวดี ชี้บริการ ประสานงานสาธารณสุข บำบัดทุกข์ให้ประชาชน ดำรงตนเป็นตัวอย่างที่ดี โดยแต่ละข้อจะมีความหมาย ดังนี้

...

  • แจ้งข่าวร้าย กระจายข่าวดี คือ คือการแจ้งข้อมูลต่างๆ แก่พี่น้องประชาชน

  • ชี้บริการ คือ การแนะนำชาวบ้านให้เข้าถึงแหล่งบริการสาธารณะสุข

  • ประสานงานสาธารณะสุข คือ เป็นสื่อกลางนำข้อมูลจากหมอมาประชาสัมพันธ์ให้กับชาวบ้าน

  • บำบัดทุกข์ประชาชน คือ เวลาประชาชนมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ อสม.จะช่วยชี้แนะว่าควรปฏิบัติตัวหรือแก้ปัญหาอย่างไร

  • ดำรงตนเป็นตัวอย่างที่ดีนั้น นอกจาก อสม. จะแนะนำเรื่องสุขภาพให้ผู้อื่นแล้ว จะต้องดูแลสุขภาพ พยายามไม่ให้เกิดโรคภัยกับตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ตนเองอายุ 62 ปี มีแม่เป็นโรคเบาหวาน แต่ตนเองไม่เป็น ดังนั้น หากเราเป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อไปนำข้อมูลไปแนะนำลูกบ้านก็จะได้รับความน่าเชื่อถือ

"อสม. แต่ละคนจะมีเขตความรับผิดชอบประมาณ 10 หลังคาเรือน หรืออาจะมากหรือน้อยกว่าตามขนาดของชุมชน หากเป็นชุมชนใหญ่อาจจะมากกว่า 10 หลังคาเรือน หากเป็นชุมชนเล็กก็อาจจะน้อยกว่า"

จากจุดเริ่มต้น สู่ 30 ปีของงาน อสม.

นางจันทร์ฉาย เล่าว่า ตนเองทำงานเป็น อสม. มานานเกือบ 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2535 สาเหตุที่มาทำงานด้านนี้ เกิดจากเราเห็นพี่น้องประชาชนเจ็บป่วยแล้วไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ์การรักษา หรือ การบริการอาจไม่ทั่วถึง และบางรายมีความเจ็บป่วยไม่ถึงขั้นต้องไปหาหมอ ซึ่งคนที่เป็น อสม. จะสามารถแนะนำช่วยเหลือ และให้ความรู้กับชาวบ้านได้

การทำงานของ อสม. เป็นเรื่องของจิตอาสา ตนชอบอาสาช่วยคน และ อยากช่วยเหลือญาติพี่น้อง บ้านใกล้เรือนเคียงจึงเลือกมาเป็น อสม.

ส่วนความยาก ง่าย ในการทำงาน นางจันทร์ฉาย เล่าว่า ถ้าจัดสรรตารางแบ่งเวลาได้ ตนคิดว่าไม่ยาก เพราะการทำงานแบบนี้ไม่จำเป็นต้องทำตลอดเวลา เหมือนกับการเข้างานของข้าราชการ หรือพนักงานประจำ ส่วนมากงานของ อสม. จะใช้เวลาว่าง เช่น ใช้เวลาหลังทำงานประจำช่วง 4-5 โมง ไปพบปะหรือไปสำรวจชาวบ้านในเขตพื้นที่ของเรา

เมื่อถามถึงช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่รอบแรก มาจนถึงปัจจุบัน การทำหน้าที่ของ อสม. แตกต่างกันไหม นางจันทร์ฉาย บอกกับเราว่า ตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ตนคิดว่าการทำงานไม่แตกต่างกัน เพราะเราผ่านการทำงานเกี่ยวกับโรคระบาดมาเยอะพอสมควรแล้ว เช่น โรคซาร์ส (SARS) ไข้หวัดนก ซึ่งในครั้งนี้จะสังเกตได้ว่าไม่ค่อยมีข่าว อสม. ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งที่เป็นคนใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง

แต่หากถามว่าเป็นการเพิ่มงานไหม ยอมรับว่ามีงานเพิ่มขึ้นมา ในส่วนของการให้ความรู้ใหม่ๆ ในเขตความรับผิดชอบของเรา

ในส่วนของการทำงานไม่แตกต่างกันมาก แต่ อสม. จะได้รับการอบรมให้ความรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การดูแลตัวเองจากโควิด-19 เทคนิคการให้ความรู้กับประชาชน เทคนิคการเข้าถึงประชาชน สิ่งสำคัญที่เน้นก็คือ การระบาดของโควิด-19 คือ จะต้องไม่ตื่นตระหนก แต่ต้องตระหนัก

ความแตกต่างอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การใช้งานอินเทอร์เน็ต มีการใช้โซเชียลมีเดีย ในการให้ข้อมูล อสม. ทุกคนมีสมาร์ทโฟน สามารถส่งข้อมูลทางแอปพลิเคชันไลน์ ทางแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ 

มาตรการเคาะประตูบ้าน คืออะไร

มาตรการนี้จะเป็นการรณรงค์ที่เราทำมาโดยตลอดเมื่อเกิดโรคระบาด จะมีทีมแพทย์ ทีม อสม. และเจ้าหน้าที่ รวมกลุ่มไปเคาะประตูบ้าน หรือเดินทางไปหาชาวบ้านถึงที่ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องต่างๆ เช่น ให้ความรู้เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน กระแสตอบรับดี แม้ในช่วงแรก ต้องยอมรับว่า ชาวบ้านบางส่วน ยังต่อต้านการรับวัคซีนโควิด-19 

...

ปัญหาสำคัญที่พบคือ ชาวบ้านไม่เข้าใจว่า กลุ่มที่ต้องฉีดกลุ่มแรกคือผู้สูงอายุ และกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง เราก็ไปอธิบายให้เขาฟัง แต่จะไม่บังคับ หากบังคับไป จะไม่ได้ผล และยิ่งทำให้เขามีความกังวลเพิ่มขึ้น จึงขอเป็นไปด้วยความสมัครใจ

นางจันทร์ฉาย ยกตัวอย่าง กรณีการให้ความรู้เรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า มีผู้สูงอายุ ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจ อยู่ในกลุ่มโรคเสี่ยงได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาจากลูกหลาน ทำให้ไม่กล้าฉีดวัคซีน เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย

อสม. จึงไปอธิบายให้เขาฟังว่า หมอไม่ได้ฉีดวัคซีนให้เลย จะต้องมีขั้นตอนซักถาม ประเมินร่างกายก่อน เราไม่บังคับให้เขาลงทะเบียน แต่จะถามเขาว่า ระหว่างโควิด-19 กับวัคซีน กลัวอะไรมากกว่ากัน ให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง ซึ่งในกรณีดังกล่าวหากมีลูกหลานอยู่ด้วยก็จะอธิบายพร้อมกันด้วย

ก่อนหน้านี้ได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสาย แต่รู้สึกว่า คนยังข้อมูลได้ไม่แน่น ไม่เท่ากับเราลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เป็นการเข้าถึงตัว

นอกจากนี้ในช่วงแรกๆ อสม. หลายคนเจอคำถามว่า ตัวของ อสม.ฉีดวัคซีนแล้วเหรอยัง จึงมีการรณรงค์ให้ อสม. ฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากเราเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงและเพื่อเป็นตัวอย่างแก่พี่น้องในเขตรับผิดชอบ

...

ช่องทางเข้าถึงชาวบ้านอื่นๆ ซึ่งของตนเองเป็นชุมชนชนบท หรือชุมชนต่างจังหวัดก็จะมีการพบปะพูดคุยกัน จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันปกติ หากพบว่าใครให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง อสม. ก็จะให้ความรู้ อธิบายข้อมูลที่ถูกต้อง

คุ้มไหม? ความเสี่ยงงาน อสม. กับค่าป่วยการ 1,000 บาท

ในตอนนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ เครื่องวัดอุณหภูมิมาให้ อสม. ในจังหวัดลำปางครบทุกคน จำนวน 18,847 คน นอกจากนี้ทางเทศบาล ท้องท้องถิ่น หน่วยงานอื่นๆ ก็สนับสนุนเครื่องมือให้

ขณะที่การระบาดของโควิด-19 รอบแรกและระลอก 2 ยอมรับว่าอุปกรณ์ป้องกันมีไม่เพียงพอ ตอนนั้นต้องหาเอง เทศบาลมีการจัดตั้งงบเย็บผ้า ใช้งบของเทศบาลแทน คาดว่าเตรียมความพร้อมไม่ทัน

ในฐานะนายกเทศบาล เราเห็นความสำคัญในเรื่องนี้จึงจัดสรรงบประมาณให้แต่ละหมู่บ้าน ทำแอลกอฮอล์ เจลแอลกอฮอล์ให้ครบทุกหลังคาเรือน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ซึ่งคนที่เป็น อสม. ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่ใช่เฉพาะในจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่หมายถึง อสม. ทั่วประเทศ ทั้งที่ค่าป่วยการของ อสม. ไม่ได้มาก

หากเทียบการทำงานของ อสม. กับค่าป่วยการที่เราได้รับมันไม่สมดุลกันหรอก อสม. เรามีจิตอาสา ไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ช่วงแรกที่ตนเป็น อสม. ไม่ได้รับค่าป่วยการ เป็นการทำงานด้วยใจล้วนๆ

อสม. เพิ่งได้รับค่าป่วยการเมื่อ 10 กว่าปีมานี้ โดยจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายไป ไม่ใช่ค่าตอบแทนหรือเงินเดือน ในตอนแรกได้ 500 บาท ปัจจุบันรัฐบาลปรับเพิ่มมาเป็น 1,000 บาท แต่หากเทียบกับค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมไปถึงค่าความเสี่ยง เงินที่ได้นั้นไม่พอ

...

ในกรณีที่เสียชีวิต ขณะนี้ อสม. ทั่วประเทศได้ร่วมกันตั้งฌาปนกิจสงเคราะห์ แต่ถ้าเจ็บป่วยจะสามารถใช้สิทธิ์ เบิกค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นสวัสดิการเพิ่มเติมได้

เมื่อถามว่าจะทำงาน อสม. ไปอีกกี่ปี นางจันทร์ฉาย เปิดเผยว่า ในความคิดของตน การทำงาน อสม. แล้วมีความสุข ได้ทำงาน ได้ช่วยคน มีความสุขกว่าการเป็นนายกเทศบาล เพราะใจเรามาก่อน การเป็นนายกเทศบาลเพราะอยากตอบแทนถิ่นเกิด ได้มีส่วนในการแก้ปัญหาหลายๆ ด้าน เช่น คุณภาพชีวิต โครงสร้างพื้นฐาน

หลายคนอาจจะมองว่าเราเป็นผู้หญิงแล้วมาทำงานในจุดนี้ แต่ตนมองว่า การเป็นผู้หญิงสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน งบประมาณต่างๆ ได้ง่ายกว่า ในอนาคตหากไม่ได้เป็นนายกเทศบาลแล้ว แต่ก็จะยังทำงานเป็น อสม. ต่อไปเรื่อยๆ

คนรุ่นใหม่อยากเป็น อสม. ใจต้องมาก่อน

คนที่อยากเป็น อสม. อย่าไปมองเรื่องค่าป่วยการ ถ้าคุณอยากเป็น อสม. จริงๆ ใจจะต้องมาก่อน ต้องถามตัวเองว่า อยากทำอะไรเพื่อประชาชน อยากทำอะไรเพื่อพี่น้อง หรือมองที่ครอบครัวของตัวเองว่า หากคนในครอบครัวเจ็บป่วยแล้วอยากช่วยเหลือไหม

"ถ้าเราเป็น อสม. จะได้รับการอบรม ได้ไปศึกษาดูงานหลายแห่งที่เขาทำไว้ดี เราจะได้ประสบการณ์ ตนเองจบเพียงปริญญาตรี แต่จะได้ตรงจุดนี้เป็นประสบการณ์มากขึ้น ไม่ว่าอาชีพใดก็ตามใจต้องมาก่อน ไม่ใช่แค่ อสม. ถ้าใจไม่มา หรือหากเข้ามาเป็น อสม. เพราะต้องการค่าป่วยการ ก็จะไม่มีความสุขในการทำงานตรงนั้น "

ผู้เขียน : J. Mashare

กราฟฟิก : Sathit Chuephanngam