• โควิด-19 ระลอก 3 หลายคลัสเตอร์มาจากสถานบันเทิง ผับ บาร์ ชุมชน ตลาดสด ร้านอาหาร ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และเสียชีวิตทุกวัน
  • การแพร่ระบาดโควิดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ศปม. มองว่าประชาชนยังใช้ชีวิตที่ขาดการเรียนรู้ จึงมอบหมายให้ หน่วยงานทหาร ตำรวจ เร่งลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ รวมถึงมาตรการป้องกัน
  • ทบ.ออกโปสเตอร์ให้ความรู้ จัดชุด "Army delivery" กอ.รมน. ตั้ง 1374 บางกอกน้อยโมเดล ส่งสายตรวจกระจายเสียง ทุกหน่วยได้ปรับแผนเพื่อเข้าถึงชุมชน ทั้งรณรงค์แจกจ่ายหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ และสร้างความเข้าใจให้ตระหนักถึงโรคโควิด

หลายคลัสเตอร์ใหญ่ที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 ณ เวลานี้ทั้งจากชุมชนคลองเตย ตลาดสดห้วยขวาง โรงงานสมุทรปราการ โต๊ะสนุกเกอร์ และอีกหลายจังหวัด กำลังประชิดเข้ามาทำให้ประเทศไทยสู่ภาวะการ์ดตกอย่างแท้จริง ทำให้รัฐบาล ศบค. สธ. หรือแม้กระทั่งหน่วยงานความมั่นคง เปิดตำราสู้ และรับมือแทบไม่ทัน

เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ครั้งนี้นับว่าจะรุนแรง และเชื้อแพร่เร็ว หลายรายต้องจบชีวิตเพียงไม่กี่วัน หลายชุมชนที่ติดเชื้อและขยายในวงกว้าง เพราะดูจากตัวเลขจากผู้ป่วยถือว่ายังน่าเป็นห่วง เห็นได้จากยอดผู้ป่วยทะลุหลัก 2 พันคนเกือบทุกวัน รวมทั้งยอดผู้เสียชีวิตก็เพิ่มมากขึ้น

...

ยังไม่นับรวมผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ผู้ที่รอผลตรวจ และผู้ที่รอการเข้ารับการตรวจ การรักษา อีกจำนวนมาก ขณะที่ผู้ป่วยนอนรักษาในโรงพยาบาลตัวเลขก็เข้าไป 3 หมื่นกว่าราย ผู้ที่อาการหนักใช้ท่อช่วยหายใจกว่า 300 คน อยู่ไอซียูอีก 1 พันกว่าราย ในขณะจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนยังน้อยนิด รวมถึงความพร้อมในด้านสาธารณสุขยังกระจายไม่ทั่วถึง ทำให้แนวโน้มตัวเลขจะมีแต่เพิ่มขึ้น

ขณะที่หลายหน่วยงานก็เริ่มปฏิบัติการเชิงรุก โดยจัดรถพร้อมทีมประชาสัมพันธ์ ลงพื้นที่เพื่อรณรงค์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ให้พี่น้องประชาชน ตามชุมชน หมู่บ้าน และจุดสำคัญในพื้นที่ เพื่อให้ทราบถึงมาตรการป้องกันตนเองต่อโรคโควิด-19 ตามหลักสุขอนามัย พร้อมแจกหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ ทั้งวิธีการป้องกันตนเอง และคนรอบข้างเพื่อไม่ให้เป็นพาหะนำโรค ทั้งแนะนำการล้างมือ การสวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

ที่สำคัญการเฝ้าระวังสังเกตอาการของตนเอง และคนรอบข้าง หากพบบุคคลต้องสงสัยมีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศาฯ ร่วมกับอาการไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจเหนื่อยหอบ ถ่ายเหลวท้องเสีย ให้รีบนำตัวไปพบแพทย์ทันที

หน่วยงานความมั่นคง ทั้งกระทรวงกลาโหม กองทัพ ตำรวจ หลังพบการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ขยายเป็นวงกว้าง และพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนแออัดในเขตกรุงเทพมหานคร จึงเน้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสม ทั้งรณรงค์สร้างการรับรู้ การเฝ้าระวัง รวมทั้งจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อเตรียมการรองรับหากมีการแพร่ระบาดในชุมชนจำนวนมาก เพื่อเป็นการลดภาระด้านสาธารณสุขในระบบ

โดยมีเป้าหมายที่ต้องเร่งเข้ามาดูแล เฉพาะชุมชนคลองเตย ชุมชนใกล้เคียง ตลาดสดห้วยขวาง ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีสภาพแออัดและประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งอีกหลายเขต หลายพื้นที่ ที่พบการติดเชื้อ ซึ่งหากไม่นำเข้าสู่ระบบสาธารณสุขโดยเร็วและทันเวลา ย่อมจะส่งผลให้มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจนเกินขีดความสามารถของระบบสาธารณสุข

ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานการปฏิบัติและสนับสนุน จึงมอบหมายให้เหล่าทัพเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจของประชาชนให้ทั่วถึง ซึ่งถือเป็นวิธีการที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดโควิดได้ เมื่อประชาชน และคนในชุมชนเกิดการตระหนักเรียนรู้ และเข้าใจในการป้องกันตนเอง เฝ้าระวังคนรอบข้างที่ถูกต้อง โดยยึดมาตรการ ศบค.เป็นหลักในการดูแลคนในครอบครัว

...

ทบ. ออกโปสเตอร์ให้ความรู้การป้องกันโควิด นำไปติดที่ชุมชน และหน่วยทหาร

ในฐานะหน่วยงานใหญ่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ได้ให้ความสำคัญในการลงพื้นที่ให้ความรู้แก่ประชาชนตามชุมชน โดยสั่งการให้ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพบก จัดทำโปสเตอร์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโควิด-19 และลดโอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อฯ ภายในเขตที่พักอาศัยของ ทบ. และชุมชนใกล้เคียง และชุมชนต่างๆ ในเขตพระนคร เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด ของ ศบค.-19 ทบ. ที่ให้ กำลังพล และครอบครัว ยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างการรับรู้ให้ถึงระดับชุมชน

...

โดยจัดเตรียมชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน เดินหน้าออกรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบัน การปฏิบัติตัว ตลอดจนชี้แจงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ที่ส่วนราชการในแต่ละพื้นที่จังหวัดกำหนด โดยหน่วยขึ้นตรง ทบ.ที่มีอยู่กระจายทั่วทุกจังหวัดทั่วประเทศ สามารถนำความรู้เหล่านี้ลงไปได้ทั่วถึงในทุกกองทัพภาคถึงจัดตั้งชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ อาทิ จ.เชียงใหม่ จ.ลำปาง จ.ราชบุรี จ.สุพรรณบุรี จ.ศรีสะเกษ จ.บุรีรัมย์ จ.นครพนม จ.ร้อยเอ็ด จ.ขอนแก่น จ.นครสวรรค์ จ.พิจิตร จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส เป็นต้น เพื่อให้สามารถดูแลป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง


ทหารอาสาเป็นสื่อกลางช่วยผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาของรัฐ

นอกจากนี้ พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ที่สวมหมวกผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทบ. และในฐานะโฆษก ทบ. มองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และมีการแพร่กระจายไปยังหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองหลวง เขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นบวก มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อบางส่วนยังคงอยู่ระหว่างการรอเรียกเข้ารับการรักษาจากสถานพยาบาล ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจต่อตัวผู้ป่วยและญาติที่เกี่ยวข้อง

...

ด้วยความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น "ผบ.ทบ." จึงให้จัดตั้ง "ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ." ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก ในการเป็นสื่อกลางรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อประสานไปยังศูนย์แรกรับ และส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ของรัฐบาล (อาคารนิมิบุตร) หรือสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าดำเนินการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ตกค้าง หรืออยู่ระหว่างการรอเรียกจากสถานพยาบาลให้ได้เข้าสู่กระบวนรักษา รวมถึงการประสานศูนย์ควบคุมการเคลื่อนย้าย ศปม.ทบ. ในกรณีที่โรงพยาบาลต้องการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรงไปยังโรงพยาบาลสนามที่จัดเตรียมไว้

ระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ผู้ติดเชื้อ

ตลอดจนให้การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายของประชาชนในทุกกรณีเมื่อได้รับการร้องขอ โดยเจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกข้อมูลของผู้ติดเชื้อ พร้อมติดตามความคืบหน้าการดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าผู้ติดเชื้อจะได้รับการรักษาตามกระบวนการสาธารณสุข โดยศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ. จะทำหน้าที่เป็นช่องทางหนึ่งในการสนับสนุนรัฐบาลสำหรับการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงเป็นการช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงการดูแลรักษาจากแพทย์ได้อย่างทันท่วงที โดยสามารถประสานขอรับการช่วยเหลือได้ที่เบอร์ 0-2270-5685-9 ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย

ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ. ยังได้ระดมศักยภาพของบุคลากร และยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่มาปรับใช้เพื่อควบคุมและป้องกันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ไม่ให้ขยายเป็นวงกว้าง รวมถึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ติดเชื้อ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและกลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด


ผุด ทบ.เดลิเวอรี่ ส่งหน้ากากอนามัยถึงบ้าน ลดภาระ เสริมการป้องกันตนเอง


สิ่งที่ "กองทัพบก" ย้ำเตือนเสมอในมาตรการที่ได้ผลในการป้องกันโควิด คือการสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ทบ.จึงได้มีนโยบายให้หน่วยทหารรณรงค์สร้างการรับรู้ในการป้องกันตนเอง พร้อมนำเจลแอลกอฮอล์พระราชทาน และหน้ากากอนามัย ไปมอบให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเสริมการป้องกันตนเองและช่วยลดภาระของประชาชน พร้อมมอบให้หน่วยทหารนำหน้ากากอนามัยหนึ่งกล่องต่อหนึ่งครอบครัว กระจายออกมอบให้ประชาชนตามที่พักอาศัย ร้านค้า แหล่งชุมชน แบบ "Delivery mask" ให้ถึงมือประชาชนอย่างทั่วถึงมากที่สุด

สำหรับพื้นที่ กทม. "กองทัพบก" ได้นำกำลังพลจิตอาสา จาก "กองทัพภาคที่ 1" ได้ ออกประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโควิด-19 พร้อมมอบหน้ากากอนามัย ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ ชุมชนตลาดกลางดินแดง เขตดินแดง, ชุมชนตรอกสลักหิน เขตปทุมวัน, ชุมชนคลองเปรมประชาพัฒนา เขตหลักสี่ และชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร พร้อมเข้าช่วยเหลือดูแลประชาชนทุกกรณีโดยทันที ตามนโยบายนำทรัพยากรและศักยภาพของกองทัพบก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการประคับประคองให้ทุกภาคส่วนผ่านพ้นสถานการณ์โควิดไปได้อย่างเรียบร้อยและปลอดภัย

ขณะที่หลายหน่วยในต่างจังหวัด ได้เปิดค่ายและมอบหมายให้ทหารจัดชุด "Army delivery" และกำลังพลจิตอาสา ทั้งลงพื้นที่ด้วยการลาดตระเวนเดินเท้า รถจยย. เพื่อส่งมอบเครื่องอุปโภค-บริโภค ยาเวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ รวมถึงข้าวกล่อง ข้าวสาร น้ำดื่ม ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ทั้งในเมือง ชุมชน และพื้นที่ห่างไกลตามแนวชายแดน เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนในห้วงโควิดระบาดรอบใหม่ ลดภาระค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือน รวมทั้งรณรงค์ และมีมาตรการป้องกันเพื่อให้เกิดความมั่นใจและความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตประจำวัน

กอ.รมน. เร่งตั้ง รพ.สนาม ช่วยผู้ป่วยโควิด ร่วม สธ. พร้อม ปชส.ให้รับทราบ

ขณะที่หน่วยงาน "กอ.รมน." ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลการป้องกันโควิด โดย พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. ระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบันถือว่า โควิด-19 ระลอกใหม่ ยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีผู้ป่วยที่ยังตกค้างรอเข้ารับการรักษา ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกข้อกำหนดเพิ่มเติม เพื่อป้องกัน และหยุดยั้งการแพร่ระบาดที่จะขยายไปในวงกว้าง ด้วยความห่วงใย กอ.รมน. จึงมอบหมายให้ กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จว. ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ ปฏิบัติตามมาตรการ และข้อกำหนดที่รัฐบาลได้ออกเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการการป้องกันการแพร่กระจายแต่ละจังหวัดอย่างเคร่งครัด

พร้อมสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ตามการร้องขอ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ที่เข้ารับการรักษาอย่างเร็วที่สุด พร้อมเปิดสายด่วนโควิด-19 เฉพาะกิจ 1668, 1669 และ 1330 รวมทั้งสายด่วน กอ.รมน. 1374 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งได้จัดชุดปฏิบัติการ "ขุนด่าน" ลงสร้างความเข้าใจและแนวทางการปฏิบัติ และขอความร่วมมือประชาชนรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมในการป้องกัน ด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ การรักษาระยะห่าง และการใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ

วอนประชาชนร่วมมือช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A

ทั้งนี้ให้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ศูนย์เอราวัณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และทีมจิตอาสา ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่รับข้อมูลเพื่อประเมินระดับความรุนแรง พร้อมทั้งติดตามอาการทางโทรศัพท์ระหว่างรอเตียง รวมถึงการประสานหาเตียงให้โดยเร็วที่สุด

"กอ.รมน. ขอฝากความห่วงใยมายังประชาชน เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และ สังคม โดยขอความร่วมมือช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง และข้อบังคับที่รัฐบาลกำหนดเพิ่มเติม จนกว่าประเทศจะกลับสู่ภาวะปกติ สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่มีการอยู่ร่วมกัน ลดกิจกรรมการชุมนุมสังสรรค์ทุกประเภท หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ยังคงเข้มงวดกับมาตรการ D-M-H-T-T-A และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ เพื่อรู้เท่าทันเหตุการณ์"

สตช. ขานรับนโยบายรัฐบาล ย้ำตำรวจปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้

ส่วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และให้กำลังพลตำรวจปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ ศบค. อย่างเคร่งครัด รวมทั้งการลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งยังได้มีการจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง ในส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 1-9 ก็มีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในมาตรฐานเดียวกัน

"สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคน จึงต้องขอให้ทุกคนร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคให้หยุดลงโดยเร็วที่สุด รวมทั้งให้ความสำคัญในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน และคุมเข้มเรื่องการไม่ดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงจุดตรวจจุดสกัดต่างๆ ที่มี จะต้องดำเนินการตามนโยบาย เพื่อควบคุมป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสกับเชื้อ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่มีความเสี่ยงไม่ให้ทำงานสัมผัสกับประชาชน ให้กักตัวเองอยู่ที่บ้าน"

"บางกอกน้อยโมเดล" นำร่องรถสายตรวจลงชุมชนผ่านเครื่องกระจายเสียง

นอกจากนี้ พ.ต.อ.ศาสตรา อ่อนรัศมี ผกก.สน.บางกอกน้อย ผู้ริเริ่มโครงการนำตำรวจชุดกิจการพลเรือนลงประชาสัมพันธ์ ผ่านรถสายตรวจเพื่อเข้าถึงชุมชน ให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ผ่านการกระจายเสียง ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักรู้ถึงสภาพปัญหาของการแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบัน และสร้างการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ปลอดภัยจากโรคระบาดนี้ อีกทั้งยังได้มีการสอดแทรกการป้องกันตนมิให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมในหลายประเภทอีกด้วย



โดยพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการในพื้นที่ที่ประชาชนใช้บริการอย่างหนาแน่น ตลาดสด ชุมชนที่พักอาศัย สถานีคมนาคมสาธารณะ ตลาดวังหลังพรานนก ชุมชนวัดอัมพวา และจะได้ดำเนินการให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด รวมทั้งนำแอลกอฮอล์สเปรย์ไปมอบให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่มีความจำเป็นต้องสัมผัสกับพื้นที่สาธารณะ และบุคคลอื่นบ่อยครั้ง วินรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถยนต์สาธารณะ พ่อค้าแม่ค้า เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดโควิด-19

"โครงการรถสายตรวจกระจายเสียง เพื่อรณรงค์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจให้ถึงชุมชน ประชาชนเดินตามท้องถนน ถือว่าได้ผลเกินคาด เพราะลดความเสี่ยงระหว่างตำรวจ กับประชาชน โดยเราใช้เครื่องมือที่ตำรวจมีอยู่ ทั้งรถสายตรวจ และเครื่องกระจายเสียง พร้อมบุคลากรตำรวจที่มีความรู้ในการถ่ายทอดให้ประชาชนรับทราบถึงอันตรายของโควิด-19 และการป้องกัน การเฝ้าระวัง การหลีกเลี่ยง จนในพื้นที่คนเริ่มมีความเข้าใจ ทำให้ลดอัตราการเกิดโรคระบาดในพื้นที่ได้"

ทั้งนี้หลายหน่วยงานความมั่นคงเริ่มปรับยุทธวิธี เพื่อให้กำลังพล ทหาร ตำรวจ เข้าถึงประชาชน ชุมชน และทุกจุดเสี่ยง เพื่อรณรงค์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ เพื่อที่ทุกกลุ่มคนปรับตัวตามมาตรการของรัฐ รวมทั้งแจกจ่ายหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ และสอนวิธีการใช้ เพื่อหวังให้คนไทยทุกคนผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ร่วมกัน.

ผู้เขียน : ยุทธจักรเขียว

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun