สภาองค์กรของผู้บริโภค เสนอ "นายกรัฐมนตรี" สนับสนุนองค์การเภสัชกรรมผลิต "ยาฟาวิพิราเวียร์" อย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันการขาดแคลนในช่วง "โควิด-19" และลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2564 สภาองค์กรของผู้บริโภค1 เสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และ รัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกาศนโยบายสนับสนุนองค์การเภสัชกรรมเดินหน้าผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) อย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันการขาดแคลน และลดการนำเข้ายาดังกล่าวจากต่างประเทศ ดังที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค ให้เหตุผลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลสนับสนุนองค์การเภสัชกรรมผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เป็นยาสำคัญในการรักษาโควิด-19 โดยเฉพาะในคนไข้ที่เริ่มมีสัญญาณของปอดอักเสบ ยาดังกล่าวไม่เคยมีคำขอสิทธิบัตรโครงสร้างหลักของยาที่ยื่นในประเทศไทย แต่มีสิทธิบัตรในต่างประเทศและสิทธิบัตรหมดอายุไปตั้งแต่ปี 2562 เป็นเหตุผลที่ทำให้จีนสามารถผลิตยาชื่อสามัญได้
ขณะเดียวกัน ในประเทศไทยกลับมีคำขอเลขที่ 1101001988 ของบริษัทฟูจิฟิล์ม ที่ขอรับสิทธิบัตรเรื่องสูตรเม็ดยาแบนและผงกรานูเลทต์ ซึ่งเป็นเพียงการตอกอัดเม็ดให้ขนาดเล็กเพื่อสะดวกแก่การกินเท่านั้น อีกทั้งยังเขียนคำขอสิทธิบัตรไว้อย่างกว้างและครอบคลุมไปหมดเพื่อกีดกันไม่ให้ผู้อื่นผลิตได้ ถือเป็นลักษณะของคำขอสิทธิบัตรแบบ Evergreening (สิทธิบัตรยาที่ไม่มีวันหมดอายุ) ซึ่งไม่ควรได้รับสิทธิบัตร เนื่องจากไม่มีความใหม่และไม่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น
ในปัจจุบัน กรมควบคุมโรคสั่งซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ เม็ดละ 125 บาท ผู้ป่วยโควิดหนึ่งรายต้องใช้ยานี้เป็นจำนวน 40 ถึง 70 เม็ด ขึ้นอยู่กับสภาพความรุนแรงของอาการ แต่ยาฟาวิพิราเวียร์ที่องค์การเภสัชกรรมจะผลิตนี้จะมีราคาถูกเกินกว่าครึ่งหนึ่ง จากราคา 5,000 - 8,750 บาทต่อราย จะลดลงเหลือน้อยกว่า 2,500 - 4,375 บาทต่อราย
นอกจากนี้ ในส่วนของภาคประชาสังคมและนักวิชาการก็ได้แจ้งต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. 2563 และเข้าพบอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ อีกครั้งในวันที่ 26 มกราคม 2564 เพื่อให้เร่งพิจารณายกเลิกคำขอสิทธิบัตรดังกล่าว แต่จนถึงขณะนี้กรมทรัพย์สินฯ ยังอนุญาตให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรแก้ไขเอกสาร เท่ากับยืดระยะเวลาออกไปและขัดขวางการผลิตยาของภาคส่วนอื่นๆ ในขณะที่องค์การเภสัชกรรมมีศักยภาพในการผลิตยาดังกล่าวได้ อีกทั้ง นักวิจัยของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ก็ยังสามารถพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมของประเทศ หรือ API (Active Pharmaceutical Ingredients) สำหรับใช้เป็นสารตั้งต้นผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้แล้ว
ดังนั้น สภาองค์กรของผู้บริโภคและทีมนักวิชาการ พร้อมจะให้การสนับสนุนนโยบายอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีความพร้อมที่จะสนับสนุนด้านกฎหมายไทยและต่างประเทศ เพื่อยืนยันความชอบธรรมของการประกาศนโยบายเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขครั้งนี้.
...