• หนึ่งปัจจัยเสี่ยงเสียชีวิต ของผู้ป่วยโควิด-19 คือผู้ที่มีภาวะ "โรคอ้วน"
  • ไขข้อสงสัย แบบไหนเรียกอ้วน? 
  • "ออกกำลังกาย" ป้องกันโควิด โดยใช้หลัก FITT

ตามที่มีรายงานจาก "กระทรวงสาธารณสุข" เกี่ยวกับผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 โดยพบว่าปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไวรัส "โควิด-19" ระลอกใหม่เดือนเมษายน 2564 คือผู้ที่มีโรคประจำตัว ทั้งโรคความดัน เบาหวาน โรคอ้วน ฯลฯ ซึ่งโรคที่กลายเป็นกระแส และถูกพูดถึงอย่างมาก คือ "โรคอ้วน" โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุน้อย เฉลี่ยอยู่ที่ 29 ปี 

สำหรับประเด็นดังกล่าว นายแพทย์ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แบ่งเป็น 2 ประเด็นหลัก ดังนี้

1. กลุ่มผู้สูงอายุ, ผู้ป่วยโรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคความดัน, และโรคอ้วน เป็นกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อของโรคทุกอย่าง มีโอกาสเสียชีวิตได้ง่าย เช่น ถ้าติดเชื้อโควิด แล้วมีโรคเบาหวาน จะทำให้เกิดอาการรุนแรงมากขึ้น

...

2. พบว่าช่วงระยะเวลานี้ ผู้ที่มีภาวะอ้วน เสียชีวิตหลายคน ต้องใช้คำพูดแนวนี้ก่อน เพราะยังไม่มีการสรุปข้อมูลออกมาเป็นสถิติ มีเพียงข้อมูลว่า คนที่เสียชีวิตในช่วงนี้มี 1. อายุน้อย 2. อ้วน 3. การเกิดอาการรุนแรงเร็วขึ้น

ฉะนั้นพบว่า มีความเป็นไปได้ ที่ผู้ป่วยอ้วนแล้วเสียชีวิตเร็ว โดยยังไม่ใช้คำว่าเป็นปัจจัย แต่เป็นแนวโน้มว่า พบคนกลุ่มนี้ป่วยแล้วเสียชีวิตมากขึ้น ดังนั้นทำให้คนกลุ่มนี้ถูกมองเป็นพิเศษว่า อาจจะมีปัจจัยที่ไปกระตุ้นการเสียชีวิตเร็วขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อโรคโควิดลงปอด คนอ้วนที่มีการหายใจลำบากอยู่แล้ว อาจจะยิ่งกระตุ้นให้โรคลุกลามเร็วขึ้น

"โดยปกติถ้านึกภาพคนอ้วน ความแข็งแรงของร่างกายจะน้อยอยู่แล้ว เนื่องจากไม่ได้ออกกำลังกาย ความฟิตของร่างกายจะน้อย การขยายของปอดไม่ค่อยดีเท่าไร รวมทั้งโรคนี้มีความสัมพันธ์กับการหายใจส่วนต้น คือ หลอดลมแล้วไปปอด โดยมีปัจจัยเสริมเกี่ยวกับการหายใจหรือการใช้ออกซิเจนลดลงอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงเป็นตัวกระตุ้นให้อาการคนอ้วนเหล่านี้ลดลงไปด้วย แต่ทั้งหมดตัวเลขยังไม่มากพอที่จะสรุปได้" นายแพทย์ขจรศักดิ์ กล่าว

ด้าน นายแพทย์อุดม อัศวุฒมางกูร ผู้อำนวยการกองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ พูดถึงประเด็น "ทำไมคนที่เป็นโรคอ้วน ถึงเป็นปัจจัยเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าโรคอื่น" โดยเผยว่า

คนที่เป็นโรคอ้วน จะมีภูมิต้านทานต่ำกว่าคนปกติ การทำงานของเม็ดเลือดขาวจะไม่เท่ากับคนปกติ ฉะนั้นเสี่ยงต่อการรับเชื้อ เวลาเจ็บป่วยการที่เม็ดเลือดขาวจะไปสร้างภูมิต้านทานเพื่อฆ่าเชื้อโรคก็จะอ่อนแอกว่าคนอื่น

นอกจากนี้ คนที่เป็นโรคอ้วน มักจะมีโรคเรื้อรังอื่นๆ ด้วย เช่น โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ไขมันอุดตันในเส้นเลือดสูง ซึ่งโรคต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดต่างๆ ฉะนั้นเวลาเจ็บป่วยแล้วเจอเชื้อไวรัส ภูมิต้านทานจะทำให้อวัยวะต่างๆ อักเสบมากขึ้น ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจทำให้แย่ลง ปอดแย่ลง ไตแย่ลง จนถึงขั้นทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ เสียได้ รุนแรงที่สุด ถึงขั้นเสียชีวิต

ขณะที่ โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ถ้าปอดแข็งแรง มีการจุที่ดี การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนเพื่อให้มีพลังงานก็จะทำได้ดี แต่คนที่เป็นโรคอ้วน ความจุปอดจะน้อยกว่าปกติ เพราะช่องท้องดันขึ้นไปเยอะ ทำให้ช่องอกเวลาจะขยายก็ยาก ดังนั้น เวลาเจ็บป่วยแล้วเชื้อลงปอด การแลกเปลี่ยนออกซิเจน หรือเวลาเป็นปอดบวม การขยายของปอดแต่ละครั้งทำได้น้อย เวลาเจ็บป่วยความรุนแรงก็จะมากกว่าคนทั่วไป

ฉะนั้นเรื่อง "ปอด" ถือเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งเรื่องการอักเสบของโรคต่างๆ และภูมิต้านทานที่ต่ำลงแล้ว และความจุของปอดจากโรคอ้วน จึงทำให้คนที่เป็นโรคมีสัดส่วนการเสียชีวิตมากกว่าคนปกติ

...

ดูแลตัวเอง สร้างสมดุลน้ำหนัก

การดูแลร่างกาย เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรยึดหลักเรื่องการบริโภค ว่าสิ่งที่รับประทานเข้าไป ให้พลังงานที่เหมาะสมกับแต่ละวันหรือไม่ รวมทั้งต้องควบคุมไม่ให้มากเกินไป รวมถึงการเผาผลาญพลังงานในแต่ละวัน โดยเฉพาะในปัจจุบัน คนทำงานมีการออกแรงลดลง เพราะการเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้แต่ละวันแทบไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย ฉะนั้นในแต่ละวันถ้าเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงพอ ไม่ได้ออกกำลังกายเสริม บวกกับการรับประทานที่มากเกิน แต่นำออกไปไม่เยอะพอ จนทำให้แคลอรีสะสม น้ำตาลเปลี่ยนเป็นไขมัน ส่งผลทำให้เกิดภาวะ "อ้วน"

ทั้งนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีการสำรวจมาแล้วว่า จากการที่คนส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน หรือ WFH ทำให้คนไทยออกกำลังกายลดลงไปถึง 40% และอ้วนขึ้นถึง 25% ถ้าไม่ตระหนักถึงตรงนี้แล้วปล่อยไปเรื่อยๆ ประเทศไทยแนวโน้มคนอ้วนก็จะสูงขึ้น แล้วจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเจ็บป่วยง่ายขึ้น และส่งผลให้ความรุนแรงเยอะขึ้น

การออกกำลังกาย โดยใช้หลัก FITT

F = Frequency คือ ความถี่ในการออกกำลังกาย ควรออกกำลังกาย 3-5 วัน เพราะร่างกายต้องใช้ความต่อเนื่อง

I = Intensity คือ ความเหนื่อยในการออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วขึ้น แต่ยังสามารถพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้

T = Time หมายถึง ระยะเวลาในการออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายในแต่ละวันให้ได้อย่างน้อย 30 นาที

T = Type หมายถึง ชนิดของการออกกำลังกาย มีด้วยกัน 3 ชนิด คือ

1. Cardio คือ ออกกำลังกายให้หัวใจ ปอด ทำงานมากขึ้น เวลาเหนื่อยหัวใจเต้นเร็วขึ้น ปอดขยาย หายใจถี่ขึ้น อันนี้คือสิ่งที่ทำให้คนออกกำลังกายบ่อยๆ มีปอดกับหัวใจที่แข็งแรง และเส้นเลือดแข็งแรง เพราะมีการไหลเวียน

...

2. Resistance การออกกำลังกายโดยใช้แรงต้าน คือการเสริมกล้ามเนื้อ เช่น การยกดัมเบล ซิตอัพ เป็นต้น

3. stretching คือ การยืดเหยียด เพื่อลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ การผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ และทำให้ข้อต่อ เอ็น แข็งแรงขึ้น

สำหรับการออกกำลังกาย มีหลักง่ายๆ เริ่มจากเบาไปหนัก คือ จาก เดิน, เดินเร็ว, วิ่ง และน้อยไปหามาก และช้าไปหาเร็ว ดังนั้นทุกคนสามารถออกกำลังกายได้ ถ้าไม่มีโรคประจำตัว กรณีมีโรคประจำตัว ต้องปรึกษาคุณหมอก่อนว่า ออกกำลังกายได้หรือไม่ เพราะข้อดีของการออกกำลังกาย คือทำให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบายขึ้น และเครียดน้อยลง


ไขข้อสงสัย แบบไหนเรียกอ้วน?

น.ส.บังเอิญ ทองมอญ นักโภชนาการชำนาญการพิเศษ เผยว่า การคำนวณที่จะทำให้รู้ว่า เราอยู่ในภาวะอ้วนหรือไม่ ต้องใช้หลัก BMI หรือ Body Mass Index เข้ามาช่วย ซึ่งเป็นการหาค่าความหนาของร่างกาย โดยใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินภาวะอ้วนหรือผอม โดยใช้วิธีคำนวณต่อไปนี้

ดัชนีมวลกาย (BMI) = ส่วนสูง (เซนติเมตร) หาร 2

ยกตัวอย่าง

...

ถ้ามีส่วนสูง 165 หาร 2 ได้ 82.5

แปลว่ารอบเอวต้องไม่เกิน 82.5 เซนติเมตร จะถือว่าไม่อ้วน

สรุปคือ รอบเอวต้องน้อยกว่าส่วนสูงหาร 2 ถ้าหากใครได้ตัวเลขรอบเอว มากกว่าส่วนสูงหาร 2 แปลว่ามีพุง เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ

ส่วนอีกวิธี คือการใช้น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม และหารด้วยส่วนสูงที่วัดเป็นเมตรยกกำลังสอง ซึ่งใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ดังสูตรต่อไปนี้

ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
                             ส่วนสูง (เมตร)2

ยกตัวอย่าง 

ถ้ามีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม และสูง 155 ซม.
ดัชนีมวลกาย (BMI) =        60     
                              1.55*1.55

ดัชนีมวลกาย (BMI) = 24.87

จากตัวอย่างข้างต้น ความหมาย BMI มีดังนี้

BMI 18.5 - 22.9 = ปกติ

BMI 23 - 24.9 = เริ่มอ้วน

BMI 25 – 29.9 = อ้วนระดับ 1

BMI 30 ขึ้นไป = อ้วน (อันตราย)


สุดท้ายแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัส "โควิด-19" ยังไม่ใครรู้ว่า จะจบลงเมื่อใด ดังนั้น "สุขภาพ" คือสิ่งที่ทุกคนต้องดูแลตัวเอง ทำตัวเองให้แข็งแรง ห่างไกลจากภาวะเสี่ยงโควิด และข้อสำคัญ คือห้ามเครียด หรือคิดมากจนเกินไป ต้องรักษาสุขภาพจิตให้แข็งแรงเหมือนสุขภาพกายเช่นเดียวกัน.

ผู้เขียน : กนก โฆษกสุขภาพ

กราฟิก : Sathit chuephanngam