ใกล้ถึงวันหยุดยาว “เทศกาลสงกรานต์ 2564” ที่เป็นช่วงการเดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนา ส่งผลให้ “ถนนเต็มไปด้วย รถรามากมาย” กลายเป็นโอกาสเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าช่วงเวลาปกติ

ในปีนี้ “รัฐบาล” กำหนดให้วันที่ 12 เม.ย.2564 เป็นวันหยุดกรณีพิเศษ ทำให้มีวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 10-15 เม.ย. สนับสนุนการท่องเที่ยวตามแบบชีวิตวิถีใหม่ในยุคการระบาดโควิด-19 อยู่นี้ และเพื่อมอบความสุขให้ประชาชนต่างจังหวัดเดินทางกลับบ้านเกิดพบปะครอบครัว รดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ สืบสาน ประเพณีปีใหม่ไทย

เหตุนี้ “ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน” กำหนดแผนลดอุบัติเหตุทางถนนภายใต้แนวคิด “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” เข้มข้น 7 วันแห่งความปลอดภัย ในวันที่ 10-16 เม.ย. ยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง Area Approach ตาม 5 มาตรการ คือด้านการบริหารจัดการด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม

ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และด้านการช่วยเหลือหลังอุบัติเหตุ มีเป้าหมายลดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่าร้อยละ 5

...

การลดสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้เหลือน้อยที่สุดนี้ ศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ (วสท.) ให้ข้อมูลว่า หลักสำคัญต่อ “การเกิดอุบัติเหตุทางถนน” มักมาจากความบกพร่องของ 3 ปัจจัยหลัก คือ...

ปัจจัยแรก...“บุคคล หรือคนขับรถ” มีพฤติกรรมการขับโดยประมาท ขับรถเร็ว ขับรถขณะมึนเมา ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ

ปัจจัยที่สอง...“สภาพพาหนะ” ที่มักนำรถขาดอุปกรณ์บางอย่างไม่พร้อมใช้งานจาก “ความบกพร่อง” ออกมาใช้บนท้องถนน เช่น เบรก ไฟสัญญาณ กระจกส่องหลัง

ปัจจัยที่สาม...“ความบกพร่องถนน สิ่งแวดล้อม” เมื่อขับมายังจุดถนนอันตราย เช่น โค้งหักศอกที่มีต้นไม้บังโค้ง ลงเนินพื้นถนนสึกจนลื่น ถนนชำรุด ทางแยกไม่มีแสงสว่าง หรือไม่มีเครื่องหมายสัญญาณนี้ แต่ว่าในการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้งนั้น ก็มักมีปัจจัยมากกว่าหนึ่งเป็นองค์ประกอบร่วมอยู่ด้วยเสมอ

จริงๆแล้ว...“ถนนสายหลักของประเทศไทย” ถูกออกแบบก่อสร้างตรงตามมาตรฐานระดับสากล แต่ว่าถูกใช้งานมาไม่ต่ำกว่า 50-60 ปีก่อนแล้ว อีกทั้งในสมัยนั้น “รถออกแบบมาให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 60-70 กม.ต่อ ชม.” ทำให้ “ถนนสามารถรองรับอัตราความเร็วรถได้” ลักษณะสอดคล้องลงตัวตรงกันอย่างปลอดภัยนี้

คราวนั้นเลยไม่มีอุบัติเหตุรุนแรงอย่างทุกวันนี้ที่ยังใช้ “ถนนโครงสร้างเดิม” ไม่มีการปรับปรุงให้สอดรับ “รถเพิ่มความเร็วสูงกว่า 120 กม.ต่อ ชม.” เหตุนี้แม้ถนนก่อสร้างตามมาตรฐานจริงก็ไม่อาจมีความปลอดภัยได้ ดังนั้นถ้าต้องการลดอุบัติเหตุอาจต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ด้วย “การออกแบบถนนให้ปลอดภัย” ไม่ใช่ออกแบบให้ถูกหลัก

ตัวอย่างเช่น “ถนนสหรัฐฯ และถนนออสเตรเลีย” ถูกออกแบบให้เป็นตัวอย่างความปลอดภัยระดับโลก แต่ว่า “ประเทศไทย” ลอกเลียบแบบมาตรฐานนี้อาจต้องเสียงบประมาณมหาศาล อีกทั้ง “ผังเมือง” ก็ไม่เอื้ออำนวยด้วย ทำให้ปรับมาตรฐานถนนปลอดภัยเหลือ 90% สังเกตจาก “ต่างจังหวัด” มีถนนลาดชันสูงมากมายหลายจุด

กลายเป็นจุดเสี่ยงต่อ “รถเสียหลักตกไหล่ทางพุ่งชนต้นไม้ หรือเสาไฟฟ้าริมทางอยู่เสมอ” แต่หากเป็น “สหรัฐฯ” แทบไม่มีลักษณะถนนลาดชันสูงด้วยซ้ำ ถ้ามีก็มักออกแบบให้มีความปลอดภัยสูงเสมอ จากการเว้นระยะห่าง “ต้นไม้ หรือสิ่งกีดขวางริมทางไม่ต่ำกว่า 10 เมตร” เพื่อให้สามารถหยุดรถได้ก่อนการชนสิ่งนั้น

ยกเว้น “มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี” ออกแบบก่อสร้างได้มาตรฐานสูง ที่ได้ชื่อว่า “เป็นถนนความปลอดภัยที่สุดของประเทศ” ด้วยเหตุ “รถยนต์ภายนอก” วิ่งตัดเข้ามาไม่ได้ อีกทั้ง “ไม่มีจุดกลับรถ” แต่ก็ยังปรากฏ “อุบัติเหตุเสียชีวิต” อยู่เช่นเดิม เพราะสิ่งกีดขวางวางตามเกาะกลางถนน หรือป้ายสัญญาณแจ้งเตือนริมทางมากไป

ในอนาคต “ประเทศไทยต้องมีระบบที่ปลอดภัยบนถนน” มีหลักองค์ประกอบการป้องกันอุบัติเหตุให้ “ตัวเลขเป็นศูนย์” แบ่งเป็น 4 เรื่องใหญ่ คือ เรื่องแรก...“ถนนที่ปลอดภัย” เมื่อผู้ใช้รถใช้ถนนขับขี่ออกจากบ้านต้องเผชิญอุบัติเหตุขึ้นระหว่างเดินทางนี้ “ถนนมาตรฐานที่ปลอดภัยจริง” ต้องไม่ทำให้มีการเสียชีวิตเกิดขึ้น

...

เรื่องที่สอง...“รถที่ปลอดภัย” การผลิตรถทุกยี่ห้อ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย EURO NCAP หรือ GLOBAL NCAP ในระบบความปลอดภัยระดับ 5 ดาว กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยแบบป้องกันอุบัติเหตุ เช่น เบรก กระจกมองข้าง ไฟสัญญาณเตือนภัยการวิ่งออกนอกเลนจราจร หรือการเตือนใกล้ชนท้ายรถคันอื่น

ต่อมาความปลอดภัยแบบลดความรุนแรงของการบาดเจ็บ เช่น มาตรฐานความแข็งแรงเข็มขัดนิรภัย จุดยึดที่นั่ง พนักพิงศีรษะ และความปลอดภัยการชนด้านหน้า ด้านข้าง ส่วน “ในไทย” กำหนดติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัย เรียกว่า “มาตรฐานบังคับ” เช่น เข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย ทำให้รถยนต์มีระดับความปลอดภัย 4 ดาว

อีกทั้ง “รถยนต์ใช้งาน 7 ปีขึ้นไป” กลับมีความปลอดภัยระดับ 3 ดาว อัตราการเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต 50% เพราะมีบางคันอุปกรณ์รถไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ทั่วประเทศมีมากกว่า 20 ล้านคัน ถูกจัดระดับมาตรฐานความปลอดภัย 0 ดาว ทำให้มักเกิดการสูญเสียชีวิตมากถึง 80% ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งหมด

...

เรื่องที่สาม...“คนใช้ถนนที่ปลอดภัย” เริ่มจากผู้ขับต้องมีสภาพร่างกาย ที่พร้อมทั้งสมาธิ มีระบบประสาทสัมผัสของร่างกายตอบสนองสมบูรณ์ระหว่างการขับขี่ทุกครั้ง โดยเฉพาะ “ทักษะการขับรถปลอดภัย” ต้องได้รับการฝึกอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจในเทคนิควิธีการขับรถอย่างปลอดภัยที่ตรงตามมาตรฐานสากลจริงๆ

ก่อนนำมาสู่ “การอนุญาตการขับขี่” หากต้องการให้ผู้ใช้รถใช้ถนนปลอดภัย ควรมีหลักการทดสอบทักษะความสามารถขับขี่ในเหตุการณ์จำลองหลากหลายรูปแบบตามมาตรฐานสากลอย่างน้อย 50 ชั่วโมง แต่ตอนนี้มีระดับทดสอบ 15 ชั่วโมง ก็สามารถออกใบขับขี่ได้แล้ว ทำให้ความปลอดภัยบนท้องถนน ไม่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องที่สี่...“การขับขี่ความเร็ว” ปัจจัยเกิดอุบัติเหตุ และการเพิ่มความรุนแรงสูงขึ้น เพราะ “ผู้ขับขี่” มีระยะเวลามองเห็นวัตถุสั้นลง และยิ่งขาดความระวังมักเกิดอุบัติเหตุง่าย โดยเฉพาะขับรถความเร็ว 60กม.ต่อ ชม.ขึ้นไปโอกาสเสียชีวิตสูง ความเร็ว 50 กม.ต่อ ชม.โอกาสรอด 1 ใน 10 คน ความเร็ว 30 กม.ต่อ ชม.โอกาสรอด 9 ใน 10 คน

...

ปัจจุบันนี้ “ประเทศไทย” มีการปรับเพิ่มความเร็วสูงสุดของรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง จากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 90 กม.ต่อ ชม.เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กม.ต่อ ชม.ในพื้นที่มีความปลอดภัยทางกายภาพ 4 ช่องจราจรขึ้นไป เพราะมุ่งผลประโยชน์ในเชิง “ความประหยัดของเศรษฐกิจ” ทั้งประหยัดเวลาเดินทาง และพลังงานนี้

แต่ความเร็วเพิ่มขึ้นนี้กลับไม่สอดคล้อง “โครงสร้างถนนเดิม” ในบางเส้น ไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับความเร็วขนาดนี้ ทำให้ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ และเพิ่มอัตราความรุนแรงในการเสียชีวิตสูงมากยิ่งขึ้น

ย้ำประเด็น...“เทศกาลหยุดยาวเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติ 20-30%” สาเหตุจากมี “ผู้เดินทางเพิ่มมากขึ้น” ทำให้มีโอกาสต่อการเผชิญเหตุค่อนข้างสูง ตามมา ดังนั้น “สงกรานต์ 2564” ต้องระวังจุดอันตรายจุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุที่ถูกจัดให้เป็น “โค้งร้อยศพ” คือโค้งกรอกยายชา อ.เมืองระยอง โค้งผีเฮี้ยน อ.แม่ทา จ.ลำพูน

โค้งปราบเซียน อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โค้ง อ.นาทวี จ.สงขลา โค้งเหมืองผ่า อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โค้งศาลรัชดา กทม. โค้งอันตราย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นโค้งหักศอก “ผู้ใช้รถ” ไม่ชำนาญเส้นทาง รวมถึงขับมาด้วยความเร็วสูง ทำให้รถเกิดการเสียหลักประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ หรือถึงขั้นเสียชีวิตด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ยังมี “ถนนเสี่ยงหลับใน” จากการเหนื่อยล้าที่เป็นทางตรงระยะยาว 9 จุด และเส้นทางเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจากขับเร็ว 24 จุด เมื่อต้นเดือนมีนาคม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประธานประชุม คกก.นโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ ได้สั่งการให้เน้นความปลอดภัยบนถนนมากกว่าตรวจจับ...

ตั้งแต่การตัดแต่งต้นไม้ เพื่อเป็นการเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็น 180 องศา มีการซ่อมแซมหลุมบ่อบนถนน และไฟฟ้าเพิ่มแสงสว่างในการป้องกันอุบัติก่อนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 นี้

ดังนั้น “สงกรานต์ 2564” ผู้ขับขี่ต้องเตรียมรถให้อยู่ในสภาพใช้งาน วางแผนศึกษาเส้นทางล่วงหน้า “ร่างกายพร้อม” พักผ่อนเพียงพอ ไม่ดื่ม แอลกอฮอล์ เพื่อประสิทธิภาพการขับขี่มีความปลอดภัย.