กรมควบคุมโรค เป็นห่วงสุขภาพประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่ได้รับผลกระทบเรื่องสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก พร้อมแนะ 6 วิธีรับมือ PM 2.5 และขอให้กลุ่มเสี่ยงระมัดระวังเป็นพิเศษ

วันที่ 1 เม.ย. 2564 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ สาเหตุมาจากการเกิดไฟป่า หรือการเผาขยะต่างๆ และเผาไร่สวนเพื่อเตรียมที่ดินไว้สำหรับทำการเกษตร อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก และเป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงหากได้รับมลพิษจากฝุ่นเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วย หรือมีผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรงมากกว่าประชาชนทั่วไป

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค จึงขอแนะ 6 วิธีรับมือฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ดังนี้

1. สวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก เช่น หน้ากาก N95 หรือถ้าไม่มีให้ใช้หน้ากากอนามัยและเสริมกระดาษทิชชูเพิ่มเข้าไป 2 ชั้น จะสามารถป้องกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง

2. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-7 ชั่วโมง

3. หมั่นเช็กเครื่องยนต์ของรถ ตรวจสภาพเครื่องยนต์เป็นประจำ เพื่อไม่ให้สร้างควันดำหรือฝุ่นพิษเพิ่มขึ้น

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง

5. ไปพบแพทย์ เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย แน่นหน้าอก หายใจลำบาก เวียนหัว และคลื่นไส้ เป็นต้น

6. ติดตามสถานการณ์ PM2.5 จากแอปพลิเคชัน "Air4Thai" และเว็บไซต์ www.air4thai.com ของกรมควบคุมมลพิษทุกครั้งก่อนเดินทาง เพื่อประเมินความเสี่ยงของตนเองในการสัมผัสฝุ่นและหาวิธีป้องกันที่เหมาะสม นอกจากนี้ ขอความร่วมมือประชาชนไม่เผาป่าหรือวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดการเกิด PM 2.5

...

สำหรับกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และ 4 กลุ่มโรคสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังและดูแลเป็นพิเศษ คือ 1. กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก 2. กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล แสบจมูก และลำคอ 3. กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ เช่น อาการคันตามร่างกาย มีผื่นแดงตามร่างกาย และ 4. กลุ่มโรคตาอักเสบ เช่น อาการแสบหรือคันตา น้ำตาไหล และตาแดง หากสงสัยหรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

นอกจากนี้ ในช่วงที่ออกนอกบ้าน ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากาก 100% เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422.