เรื่องปมเหตุ “ความอลวนศึกแย่งชิงกรรมสิทธิ์ ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1” มักเป็นข้อพิพาทกลายเป็นกระแสฟีเวอร์ข่าวใหญ่โตให้เห็นอยู่เรื่อยๆ หลังจากกองสลากฯ ประกาศผลการออกรางวัลเสร็จสิ้น
แต่การอ้างกรรมสิทธิ์นี้ต้องมี “คนหนึ่งคนใดกล่าวเท็จ” ในการแอบอ้างความเป็น “เจ้าของสลากฯเงินรางวัลโดยทุจริต” ที่อาจตกเป็นผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดีอาญา “โทษสูงสุดคือติดคุก” เพราะ “ความโลภครอบงำ” ทำให้เป็น “คนตาบอด” ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองโดยมิชอบนี้
เหตุนี้ทำให้ปรากฏการณ์ “คอหวยซื้อสลากฯ” ต่างพากันถ่ายรูปคู่สลากฯ หรือคนขายกันเหนียวกรณีถูกรางวัลที่ 1 เพื่อตัดปัญหา “ขึ้นโรงขึ้นศาล” จะมีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ที่เป็นวิธีปฏิบัติทราบทั่วไปทุกวันนี้
เพราะคดีพิสูจน์ความเป็นเจ้าของสลากฯนี้ไม่ใช่มีคดีแรกเกิดขึ้นใน “สังคมไทย” แต่ก่อนนี้ก็มีเป็นคดีเดียวกันหลายคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ลักษณะเป็นพฤติกรรมเลียนแบบโดยประสงค์เอาทรัพย์ของผู้อื่น” ด้วยซ้ำ และเชื่อว่า ในอนาคตแนวโน้มเกิดเป็นคดี “การอ้างกรรมสิทธิ์” แจ้งความร้องทุกข์กันอีกหลายกรณีแน่นอน
ล่าสุดที่โผล่ขึ้นอีก เป็นป้าในจังหวัดภาคอีสาน อ้างถูกรางวัลที่ 1 งวดวันที่ 1 มี.ค.2564 รับทรัพย์ก้อนโต 12 ล้านบาท แต่เป็นลอตเตอรี่จอง 2 ใบยังไม่ได้จ่ายเงินเพียงแต่มีเขียนชื่อสลักด้านหลังลอตเตอรี่ใบนั้นไว้ ปรากฏว่า “แม่ค้าดันนำไปขายให้คนอื่น” ต้องโร่แจ้งความเป็นคดีพิสูจน์กันต่อไป
...
แม้ว่าก่อนหน้านี้ “กองสลากฯ” เคยออกมาแนะนำเตือนให้ “ผู้ซื้อสลากฯ” ทำการเซ็นชื่อสลักหลังไว้ทุกครั้งหาก “สลากฯ หาย” ก็ให้รีบแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ประสานไปกองสลากฯ เพื่อให้ทำการอายัดรางวัลล่วงหน้า แต่การเขียนชื่อสลักหลังนี้ไม่ได้ “บ่งบอกความเป็นเจ้าของ” ที่ถือเป็นหลักฐาน “การครอบครอง” เท่านั้น
ถ้าหากว่า “สลากฯ หาย หรือถูกขโมย” โดยไม่มีหน่วยงานราชการ “แจ้งอายัด” กองสลากฯจำเป็นต้องออกเงินรางวัลให้คนมาขึ้นเงินเช่นเดิม เหตุนี้ “ชาวบ้านตาสีตาสา” ตั้งข้อสงสัยว่า “แม้สลักชื่อเป็นเจ้าของ” ยังไม่อาจมีความปลอดภัยแล้วมีมาตรการใดแสดงการครอบครองโดยสุจริตได้อีกหรือไม่
และหากจะให้ “ชาวบ้านตาดำๆ” ถ่ายรูปตัวเองคู่กับสลากฯ หรือถ่ายคู่กับแม่ค้า เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานก็คงไม่ไหว เพราะ “โทรศัพท์มือถือ” ที่มีใช้อยู่ยังเป็น “เครื่องยุค 2000” ด้วยซ้ำ
ในมุมมองทางกฎหมายเกี่ยวกับ “การอ้างกรรมสิทธิ์ในศึกแย่งชิงลอตเตอรี่รางวัลนี้” มีข้อกําหนดไว้หลายประเด็นเช่นกัน “คมเพชญ จันปุ่ม” หรือ “ทนายอ๊อด” ประธานเครือข่ายทนายชาวบ้าน อธิบายว่า ตามหลักแล้ว “สลากฯ ถือเป็นทรัพย์สินทั่วไป” ในการจำหน่าย เสี่ยงโชค เพื่อรับรางวัล และผู้ขายชักส่วนลดเป็นกำไรนั้น
กฎหมายกำหนดให้ “กองสลากฯ” เป็นผู้จัดจำหน่ายตาม พ.ร.บ.สนง.สลากกินแบ่งฯ พ.ศ.2517

ดังนั้นเมื่อ “สลากฯ เป็นทรัพย์สินทั่วไป” ก็ย่อมสามารถโอนย้ายเปลี่ยนมือกันได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ทำให้ “ใครมีสลากฯ อยู่ในการครอบครอง” ตามกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า “ผู้นั้นย่อมเป็นเจ้าของ” เว้นแต่กรณีมีการโต้แย้งสิทธิ์ความเป็นเจ้าของนี้เกิดขึ้น ที่อาจต้องมีการพิสูจน์กันตามพยานหลักฐานกันต่อไป
เรื่องลักษณะทรัพย์สินทั่วไปนี้มีความแตกต่างจาก “ทรัพย์มีทะเบียน” ที่เป็นตัวแสดงการครอบครอง เช่น เรือ เครื่องบิน และยานยนต์ ในการเปลี่ยนแปลงการครอบครองมักต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ด้วยการทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนกับผู้มีอำนาจเสมอ มิเช่นนั้น “กรรมสิทธิ์การครอบครอง” ยังเป็นของผู้ถือครองคนเดิม
เหตุนี้เมื่อ “สลากฯ เป็นทรัพย์ไม่มีทะเบียน” การซื้อขายต้องเป็นไปตามหลัก “สัญญาซื้อขายทั่วไป” ที่เกิดขึ้นได้ต้องแสดงเจตนาถูกต้องตรงกันทุกฝ่าย คือ “ฝ่ายผู้เสนอ และฝ่ายผู้สนอง” เรียกกันทั่วไปว่า “ผู้ขายกับซื้อ” ที่จะทำให้สัญญานี้สำเร็จได้ และมีความผูกพันกับ “ผู้ขาย” ส่วนจะผูกพันเพียงใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอื่นๆด้วย
...
ประการต่อมา “สัญญาซื้อขาย” ถ้าไม่ได้มีการกำหนดเวลาการจ่ายราคากันไว้ “ผู้ขาย” อาจกำหนดระยะเวลาไว้พอสมควร และแจ้งไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนว่า “จะทำการซื้อสลากฯหรือไม่” หากไม่ตอบการซื้อขายก็เป็นอันไร้ผล ทำให้ “ผู้ขาย” สามารถนำ “สลากฯ” ออกจำหน่ายให้บุคคลอื่นได้ต่อไป
ทว่าในการซื้อขายจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อ “มีการชำระครบถ้วนตามราคาและส่งมอบสลากฯให้กับผู้ซื้อไปแล้ว” แต่ว่ามีการจ่ายจำนวนเงินไม่ครบตามราคา ก็ยังถือว่า “การซื้อขายไม่สมบูรณ์” อยู่เช่นเดิม นั่นหมายความว่า “ทรัพย์สินนี้” ยังคงเป็นของผู้ขายอยู่ ทำให้มีสิทธิ์สามารถนำไปขายให้บุคคลอื่นใดก็ได้

ต้องเห็นใจด้วย “ลักษณะซื้อปากเปล่า” ความเสี่ยงตกอยู่กับ “ผู้ขาย” เมื่อมีผู้ต้องการซื้อสลากฯ ก็มักต้องจำหน่ายเอาเงินสดไว้ก่อน เพราะในทางกลับกันวันดีคืนดีถึง “วันประกาศผลจับสลากฯแล้วไม่ถูกรางวัล” ตามไปเก็บเงินกับ “ผู้สั่งจอง” กลับบอกไม่ได้สั่งไว้กลายเป็นขาดทุนแทน เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมผู้ขายด้วยเช่นกัน
...
แต่ว่าอาจต้องดู “เรื่องเจตนา” นำมาประกอบด้วยว่า “ผู้ซื้อและผู้ขาย” เคยให้คำมั่นสัญญาในการซื้อขายกันเป็นปกติประจำหรือไม่ เช่น “ผู้ซื้อ” มักโทรศัพท์ให้ “ผู้ขาย” กักเก็บสลากฯไว้อยู่เสมอแล้วค่อยนำเงินจ่ายภายหลังการประกาศผลจับสลากฯออกไปแล้วประจำในลักษณะเสมือนเป็นประเพณีทำร่วมกันมาเช่นนี้ตลอดหลายปี
เช่นนี้ “ไม่มีการส่งมอบสลากฯ กัน” ย่อมทำให้สัญญาการซื้อขายสมบูรณ์ได้ หาก “ผู้ขาย” นำออกจำหน่ายให้บุคคลอื่น ก็ต้องถือว่า เป็นความผิดที่ต้องรับผิดชอบกรณีสลากฯ ถูกรางวัลขึ้นมาภายหลังนี้...
ตัวอย่างกรณีป้าคนหนึ่งในจังหวัดภาคอีสาน อ้างว่าถูกรางวัลที่ 1 งวดวันที่ 1 มี.ค.2564 จากการจองกับ “แม่ค้าขายสลากฯ” ที่ถูกนำไปจำหน่ายให้ผู้อื่น ที่มีการ “ลงชื่อสลักหลังไว้” ในเรื่องนี้เป็นเพียงแสดง “การจับจอง” เท่านั้น แต่ก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายด้วย “การจ่ายเงินตามราคาครบถ้วน หรือส่งมอบสลากฯให้กัน” ด้วยซ้ำ
ทำให้ “กรรมสิทธิ์ในสลากฯ” ยังคงเป็นของ “ผู้ขาย” เช่นเดิม ที่สามารถนำไปขายให้บุคคลอื่นได้ แต่หากว่า “ผู้ขาย” ได้แจ้งให้ “ผู้ซื้อ” ทราบก่อนประกาศผลจับสลากฯ และมีการตอบรับ “ตกลงซื้อสลากฯ” อีกทั้งได้กำหนดวัน เวลา การจ่ายเงินกันชัดเจน เช่นนี้ “กรรมสิทธิ์ย่อมเป็นของผู้ซื้อ” แม้ไม่มีการส่งมอบให้กันก็ตาม
...
จริงๆแล้ว...“การสลักชื่อลงหลังสลากฯ” ไม่การันตีความเป็นเจ้าของได้ หากไม่มีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ “กองสลากฯ” คงต้องทำหน้าที่จ่ายเงินรางวัลให้ผู้ถือมาขึ้นเงินตามเดิม ที่ยึดตามหลัก “สลากฯอยู่กับใครคนนั้นเป็นเจ้าของ” ยกเว้น “ตำรวจ” แจ้งอายัดไว้ “กองสลากฯ” จะทำการงดการจ่ายเงินรางวัลให้ผู้ถือสลากฯเป็นกรณี
ย้ำว่าถ้ามีการแจ้งหลัง “กองสลากฯจ่ายเงินรางวัลให้ผู้ถือสลากฯไปแล้ว” เรื่องนี้เป็นหน้าที่ “ฝ่ายคู่กรณี” ต้องดำเนินการทางกฎหมายเกี่ยวกับกรณี “ลาภมิควรได้” เพื่อให้ “ตำรวจ หรือศาล” ออกคำสั่งอายัดการเบิกถอนเงินบัญชีของ “ผู้ขึ้นเงินรางวัลออกไปแล้ว” เช่นกรณี “คดีสลากฯ 30 ล้านบาท” จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ในส่วนผลสรุปทางคดีพิสูจน์เสร็จสิ้นแล้วว่า “ผู้ถือสลากฯแอบอ้างเป็นเจ้าของมารับรางวัล” อาจต้องเข้าข่ายการกระทำความผิด “ฐานฉ้อโกง” ตาม ป.อ.ม.341 หลอกลวงผู้อื่นที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้อื่น ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีก็ได้
โดยเฉพาะ “ผู้แอบอ้างโดยไม่สุจริต” ต้องคืนเงินรางวัลทั้งหมดให้ “เจ้าของกรรมสิทธิ์ตัวจริง”...
สำหรับปัจจัย “ศึกแย่งชิงกรรมสิทธิ์สลากฯ” มักเกิดจาก “ความโลภ” อยากได้อยากมีมากขึ้น ทำให้เสมือนเป็น “คนตาบอด” ที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี อีกส่วนมองว่า “สื่อยุคใหม่” มีบทบาทสำคัญ “ประโคมข่าว” ในบางครั้งก็มีการสร้างกระแสเสนอเกินขอบเขตเกินจริง กลายเป็นแรงกระตุ้น “พฤติกรรมเลียนแบบ” มากขึ้นเรื่อยๆอยู่เช่นกัน
ตอกย้ำไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า “ผู้ถูกความโลภครอบงำ” สร้างความปั่นป่วนเดือดร้อนคนอื่น อาจมีความผิดถูกดำเนิน “คดีอาญา” มาถึงตัวแน่นอน และมักมีจุดจบแห่ง “ความทุกข์” แสนสาหัสให้เห็นอยู่เสมอ.