สถานการณ์น้ำปี 2564 “ประเทศไทย” ที่กำลังเข้าสู่ “ลานีญา” ทำให้สภาพอากาศทั่วไป “ปริมาณฝนมากกว่าค่าปกติ” มีลักษณะ “แบบกระจุกตัวไม่กระจาย” เหมือนที่เคยเป็นมา สัญญาณแนวโน้มเกิดปรากฏการณ์ภัยแล้งกระจุกซ้ำซาก และเกิดท่วมกระจายหลายพื้นที่อยู่ดังเดิม
ปัจจัยเกิดจาก...“ความผิดปกติผันผวนแปรปรวนอากาศ” ส่งผลต่อปริมาณน้ำค่อน หรือขาดไปในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง กลายเป็นความไม่แน่นอน “การบริหารจัดการน้ำของประเทศ” ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกักน้ำ และการพร่องน้ำออก ทำให้มักเหลือน้ำใช้ในอ่างสำหรับต้นฤดูฝนอย่างจำกัด ส่งผลให้เกิดปัญหาภัยแล้งอยู่เสมอมา...

เหตุนี้แม้ว่า “ประเทศไทย” กำลังได้รับ “อิทธิพลลานีญา” ที่มีฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ แต่ก็อย่าลืมว่าในปี 2562-2563 ต้องเผชิญฝนน้อยกว่าค่าปกติ 2 ปีติดต่อกัน ทำให้ “ภาคเหนือ” มีน้ำลงอ่างหลักค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะ “เขื่อนลุ่มน้ำเจ้าพระยา” เช่น เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
...
ดังนั้นนับจากสิ้นสุดฤดูฝนเดือน พ.ย.2563 ตามข้อมูลกรมชลประทานในวันที่ 4 มี.ค.2564 มีปริมาณน้ำใช้การได้ 3,458 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 19 ขณะที่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำระบุความต้องการน้ำในช่วงฤดูแล้งจนถึงต้นฤดูฝนมีมากถึง 12,000 ล้าน ลบ.ม. เหตุนี้หลายพื้นที่ต้องเผชิญ “การขาดแคลนน้ำ” ไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนการเกษตรด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะ “นาปรังทำไปแล้วเกือบ 3 ล้านไร่” ที่มีการเพาะปลูกเกินแผนเช่นนี้ย่อมกระทบกับโควตา “น้ำสำรองไว้ใช้ถึงต้นฤดูฝน” ทำให้เริ่มเห็น “การแย่งชิงน้ำ” ด้วยการใช้เครื่องสูบน้ำจาก “แม่น้ำเจ้าพระยา และคลองชลประทาน” จนไม่มีมาถึง “ปลายน้ำ” ใช้ผลิตน้ำประปาหลายแห่งตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้
ดังนั้น “กุญแจสำคัญ” สามารถนำพาผ่านพ้น “วิกฤติภัยพิบัติน้ำท่วม หรือน้ำแล้ง” ต้องวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างถูกทิศถูกทางในอนาคต รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกษตร มองว่า
สถานการณ์ “ภัยแล้ง ปี 2564” มีแนวโน้มคลี่คลายดีขึ้นตามลำดับ “ไม่หนักหน่วงนัก” ถ้าเทียบกับปี 2562-2563 สังเกตได้นับแต่เข้า “ฤดูหนาว 2563–2564” ยังพอมี “น้ำฝน” ตกลงมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ “ภาคใต้ตอนล่าง” ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากหลายพื้นที่ด้วยซ้ำ

แต่ในช่วงปลาย ม.ค.-ก.พ. “ฝนขาดช่วง” ปริมาณน้ำลดน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ กระทบต่อ “ภาคเหนือ” มีน้ำลงอ่างน้อย ทำให้ “เขตชลประทาน” ต้องขาดแคลนน้ำ และเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะสิ้นสุดกลางเดือน มี.ค.2564 “สถานการณ์น้ำมีแนวโน้มดีขึ้น” โดยเฉพาะเดือน เม.ย.-มิ.ย. ปริมาณฝนจะมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติทุกภูมิภาค
ต้องเข้าใจว่าปกติแล้ว “ฝนในฤดูแล้ง” มักมีลักษณะ “ฝนน้อย หรือไม่มีฝนเลย” ดังนั้นในช่วง “ฤดูหนาวต่อเนื่องถึงฤดูร้อน” เริ่มจากครึ่งหลังของเดือน ต.ค.เป็นต้นไป บริเวณประเทศไทยตอนบน ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก จะมีปริมาณฝนลดลงเป็นลำดับ
กลายเป็น “ภัยแล้งประจำ” กระทั่งเข้าสู่ “ฝนตามฤดู” เดือน เม.ย.-พ.ค.ของปี ที่มีฝนมากขึ้น
มองกันยาวๆ...“ประเทศไทย ปี 2564” ต้องเผชิญ “ภัยแล้งระยะสั้น” เดือน ม.ค.-ก.พ.เท่านั้น เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออากาศหนาวเย็นยาว ที่เกิดจาก “อิทธิพลลานีญา” ทำให้อุณหภูมิต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ถ้าเปรียบเทียบช่วงนี้ในปี 2563 เริ่มมีน้ำฝนตามฤดูในเดือน มิ.ย.-ก.ค. ทำให้ “ฤดูแล้งยาว” ตีวงกว้างราว 6-7 เดือนด้วยซ้ำ
ตอกย้ำด้วยพยากรณ์ IRI ม.โคลัมเบีย สหรัฐฯ ในวันที่ 19 ก.พ.2564 ระบุว่า “ลานีญา” ทรงตัวระดับสูง 85% ในช่วง ม.ค.-มี.ค. จากนั้น เม.ย.-มิ.ย. อ่อนกำลังเปลี่ยนเป็น “Neutral Phase หรือเฟสกลางปกติ” ก่อนที่จะเพิ่มกำลังอีกครั้งหลังเดือน ส.ค. ส่วนยืดเยื้อยาวแค่ไหนไม่ชัดเจน ดังนั้น “ภัยแล้ง” น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยในปีนี้
...
จริงๆแล้ว...“ภัยแล้ง และน้ำท่วมของประเทศไทย” นับเป็นปัญหาซ้ำซากอยู่แล้ว “ในเชิงวิทยาศาสตร์” ทำนายสาเหตุเกิดจาก “อากาศแปรปรวน” ที่มีปัจจัยของ “สภาวะโลกร้อน” ในการปล่อย “ก๊าซเรือนกระจก” ส่งผลให้ความน่าจะเป็นในการเกิดภัยแล้งมากกว่าความน่าจะเกิดน้ำท่วมตามมา...
อนาคต “ประเทศไทย” คงเผชิญ “น้ำท่วม” อยู่เช่นเดิม แต่โอกาสเจอ “ภัยแล้ง” จะมีมากกว่าปกติ
ถ้าพูดถึง “การปล่อยก๊าซเรือนกระจก” หลายประเทศต่างให้ความสำคัญไม่น้อย ล่าสุด “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งกลับสู่ความตกลงปารีส (Paris Agreement) การมีส่วนร่วมแก้ปัญหาเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงก่อนหน้านี้

เรื่องนี้อาจกลายเป็นปัญหาสำคัญให้ “ประเทศไทย” ที่ต้องกังวลใจในอนาคตกับ “มาตรการกีดกันทางการค้า” โดยเฉพาะ “สินค้าไทยส่งไปสหรัฐฯ” ถ้าสิ่งใดไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็มีโอกาสถูกกีดกันทางการค้าก็ได้ เช่น “การปลูกข้าว” แหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ดังนั้น “ภาคการส่งออก” อย่ามองข้ามควรปรับตัวด้วย
...
ประเด็น...“การพยากรณ์อากาศระยะยาว” มีหลักใช้แบบจำลองสถิติย้อนหลัง ในการดูแผนอากาศที่คล้ายคลึงกันที่สุดในปีก่อนหน้ากับปัจจุบัน เรื่องนี้มักมีความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลง และความผันแปรในรอบก่อนนี้อยู่เสมอ ที่ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ ทำให้ความแม่นยำอาจจะลดลงก็ได้
เพราะการพยากรณ์ล่วงหน้าระยะสั้นมากเท่าใด ย่อมมีผลความแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ “การพยากรณ์อากาศ” อาจต้องคิดคำนึงถึงแนวโน้มปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเป็นเช่นนี้ “การปรับตัวพร้อมรับมือ” มีความสำคัญที่สุด โดยเฉพาะ “หน่วยงานภาครัฐ” เพิ่มขีดความสามารถคูคลองให้มีประสิทธิภาพรองรับน้ำ เพราะ “เกษตรกร” มีข้อจำกัดเข้าถึงระบบชลประทานเพียง 26% แต่ว่า “งบประมาณ” กลับทุ่มลงเขตระบบชลประทานมากกว่าเกษตรกรนอกเขตที่เป็นผู้รับผลกระทบภัยแล้งอยู่เสมอ
การนี้ “หน่วยงานภาครัฐ” ต้องปรับแนวคิด “จัดสรรงบประมาณ” มุ่งพัฒนาพื้นที่เขตนอกระบบชลประทานด้วย เพราะเป็นพื้นที่ขาดแคลนน้ำมาทุกปี โดยเฉพาะ “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ที่มีแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่น้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ ส่วนใหญ่ “อ่างเก็บน้ำ” มักมากระจุกตัว “พื้นที่ภาคกลาง” ตามลุ่มน้ำเจ้าพระยา
เพราะหากเปรียบเทียบกับ “ประเทศพัฒนาแล้ว” เกษตรกรสามารถเข้าถึงระบบชลประทานมากกว่า 80% ด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่า “ประเทศไทย” ไม่สามารถสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ได้ เช่นนั้นแล้วขอเสนอให้มีการ “พัฒนาคลองไส้ไก่” กระจายทุกพื้นที่จะสามารถเป็นแหล่งกักเก็บน้ำโดยอัตโนมัติได้อีกทางหนึ่ง
...

ขอฝากย้ำว่า “สถานการณ์น้ำในปี 2564” ต้องกังวล “น้ำท่วมมากกว่าน้ำแล้ง” ในเดือน เม.ย.-มิ.ย. ที่จะเป็น “ฤดูฝนปกติ” มีน้ำหลากอยู่แล้ว เมื่อต้องเจอ “อิทธิพลลานีญา” หนุนเสริมยิ่งมีน้ำมากกว่าเดิม ทำให้อาจจะระบายไม่ทัน ก่อนที่ “ฝนทิ้งช่วง” ในช่วงเดือน ก.ค.มีลักษณะคล้ายๆเป็นปรากฏการณ์แล้งในช่วงฤดูฝนด้วยซ้ำ
ทว่าในส่วน “ภัยแล้ง” มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยในปีนี้ แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้ล่วงหน้าด้วย “การขุดลอกคูคลอง” เพื่อรองรับกักเก็บน้ำให้มากที่สุด ทั้งต้องมีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำของแหล่งน้ำต่างๆ ให้สอดคล้องกับกิจกรรมการใช้น้ำ และปริมาณน้ำต้นทุนจนสิ้นสุดฤดูฝนด้วย
พื้นที่เน้นเป็นพิเศษ “ภาคอีสาน” เพราะมักเกิดภัยแล้งขึ้นซ้ำซาก “ภาครัฐ” ต้องปรับตัวสร้างระบบชลประทานอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ ในส่วน “เกษตรกร” ก็ปรับวิถีเพาะปลูกพืชใช้น้ำน้อย ในเรื่อง “ภัยแล้ง” ถ้าหาก “ทุกคน” มีระเบียบวินัย “ใช้น้ำอย่างประหยัด” เชื่อว่าจะทำให้ไม่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคอย่างแน่นอน

แต่ต้องยอมรับว่า “พื้นที่แต่ละภูมิภาค” มีปัญหาแตกต่างกัน “ในจังหวัด” ก็มีความหลากหลายปัญหา “บางพื้นที่เจอแล้งซ้ำซาก” ในบางแห่งก็เผชิญ “ปัญหาน้ำท่วม” ประจำทุกปี แม้ปีนี้ “มีฝนตกชุก” ก็จริง แต่ยังมี “แม่น้ำลำคลองหลายสาย” ไม่พร้อมเก็บกักน้ำ ต้องปล่อยทิ้งไปไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ให้มีประสิทธิภาพมหาศาล
กลายเป็นปัญหาครบวงจรซ้ำซากตลอด ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำท่วมน้ำแล้งต้องทำควบคู่กันไป
สุดท้ายปัญหานี้จะแก้ได้ด้วย “การเตรียมพร้อม และความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกัน” ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบลุ่มน้ำที่ถูกต้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้...