- รู้จัก "แม่มด-นินนิน" สาวมั่นแห่งเพจ "Blacklist Secret"
- ไม่ใช่แค่ บิวตี้บล็อกเกอร์ แต่ยังเป็นพี่เลี้ยงให้คนที่ถูกบูลลี่รูปร่าง เพราะมองว่าการ "Body Shaming" ไม่ต่างจากโรคร้าย "โควิด-19"
- อยากบอกให้รู้ สิ่งที่ทำอยู่มันไม่โอเค คำพูดบูลลี่ ตลกร้าย ที่อาจจะทำลายคนอื่น
เพราะการ "บูลลี่" ถูกแทรกซึมอยู่ในทุกสังคม มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งการบูลลี่ที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง คงเป็นเรื่อง "Body Shaming" หลายคนหันมาสนใจเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งใกล้ตัวและคุ้นเคย บางคนอาจจะพูดเล่นจนชิน จนอาจลืมไปว่าคำพูดเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้รับฟัง
ที่ผ่านมาหลายคนอาจคิดว่า "การวิจารณ์ร่างกายของบุคคลอื่น" หรือแม้แต่ "การล้อเลียน" คงเป็นเพียงการพูดเล่นเฉยๆ จนลืมไปว่า อาจทำให้ผู้ที่ถูกวิจารณ์ "อาย" หรือ น้อยเนื้อต่ำใจ มันจะดีกว่าไหม หากเราเปลี่ยนคำเหยียดเหล่านั้น ให้เป็นคำทักทายที่ปกติโดยไม่บูลลี่คนอื่น
ขณะที่ "กนก" ได้มีโอกาสพูดคุยกับ 2 บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง "แม่มด" รัตนาวลี นาคประกอบ และ "นินนิน" นันท์นภัส วงศ์โสภา เจ้าของแฟนเพจเฟซบุ๊ก Blacklist Secret สองสาวที่หากใครติดตาม จะรู้ว่า ทั้งคู่เป็นบล็อกเกอร์สาย ฝ. ที่มีความมั่นใจ และกลายเป็นไอดอลของสาวๆ อีกหลายคน ที่เคยโดนบูลลี่ (Bully) และการวิจารณ์รูปร่างผู้อื่น (Body Shaming) ซึ่งวันนี้ทั้งคู่จะมาเล่าประสบการณ์ตรงว่ากว่าจะมาเป็นพี่เลี้ยง ปลุกไฟความกล้าให้สาวๆ กล้าลุกขึ้นมาแต่งตัว พร้อมเปิดเผยเคล็ดลับในการดูแลตัวเองให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
...
เริ่มรู้จักกันได้อย่างไร
นินนิน : ถือเป็นคำถามยอดฮิตมากๆ คือ แม่มดเป็นแฟนเก่าของเพื่อนสนิทเรา จากนั้นเราเลยสนิทกัน เพราะชอบอะไรเหมือนๆ ทั้งเรื่องเมกอัพ การแต่งตัว แฟชั่นจัดจ้าน เมื่อก่อนเรามีเพื่อนกันเยอะมาก แต่ แม่มด กับ นินนิน มีสไตล์เหมือนกันก็เลยคุยกันรู้เรื่อง ทำให้สนิทกัน จนมาเปิดเพจเฟซบุ๊ก Blacklist Secret ได้ประมาณ 8 ปีแล้ว
สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่องานเราไหม
แม่มด : งานหลักของเราคือเป็น บล็อกเกอร์ ส่วนใหญ่คือ รับงานโพสต์ตามโซเชียลมีเดีย ครั้งแรกที่เจอสถานการณ์โควิดค่อนข้างช็อก เพราะคนจะรู้จักเราในฐานะไลฟ์สไตล์บล็อกเกอร์ ทำให้มีการเดินทางบ่อยไปทำคอนเทนต์ต่างประเทศบ้าง ต่างจังหวัดบ้าง แต่พอมีโควิดเข้ามา ทำให้เราหยุดการเดินทาง หยุดการท่องเที่ยวไปพักหนึ่ง ถือว่ากระทบต่องานด้านคอนเทนต์การท่องเที่ยวของเรา
รวมถึงงานปกติก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา พูดได้เลยว่า "เงียบ" โควิดส่งผลกระทบต่อแบรนด์ต่างๆ กระทบมาถึงเราอีกที ต้องเปลี่ยนแผนการทำงานใหม่ ทุกอย่างสะดุดไปหมด
นินนิน : แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว เพราะทุกคนเริ่มเห็นหาทาง เริ่มหาวิธีแก้ไขหรือวางแผนใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น งานเริ่มกลับมาคล่องตัว แต่อาจไม่เหมือนก่อนที่จะเกิดโควิด ซึ่งอยู่ในช่วงพีค แต่ก็เริ่มกลับมั่นคงมากขึ้น
มุมมองเรื่อง Body Shaming
นินนิน : มองว่ามันไม่ได้ต่างจากโรคร้าย อย่าง "โควิด" เลย มันถูกฝังลึกๆ อยู่ในความคิดของแต่ละคนมานานแล้ว ยกตัวอย่าง เช่น คำว่า อีกาคาบพริก, ดำ, อ้วน คือเราได้ยินอะไรแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เลยคิดว่าในสมัยพ่อแม่เราเด็กๆ ก็มีการ "บูลลี่" เกี่ยวกับร่างกาย โดยคำเหล่านี้ มักส่งผลกระทบต่อคนที่สภาวะจิตใจไม่เข้มแข็ง ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในการใช้ชีวิต
หลายคนอาจจะคิดว่า แค่แซวกันเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แต่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่ คนพูดอาจไม่มีทางรู้เลยว่า คนที่รับฟังนั้น ได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดมาแล้วกี่ครั้ง เกี่ยวกับการ Body Shaming
แม่มด : แต่ละคนมีภูมิต้านทาน และสภาพจิตใจ ความแข็งแรง อ่อนแอ ไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีภาวะจากโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เกิดผลเสียขั้นรุนแรงได้ อาจถึงขั้นฆ่าตัวตายได้กับเรื่องแบบนี้
...
ประสบการณ์ที่เคยโดนบูลลี่
นินนิน : เคยมีคนมาคอมเมนต์ว่า หน้าตาประหลาด ไม่เห็นสวยเลย เห็นหน้าแล้วอึดอัด ทำให้เราตกใจว่า หน้าตาไม่สวยมันผิดเหรอ อะไรคือมาตรฐานของคำว่าไม่สวย และด้วยหน้าที่ของเราในการเป็นยูทูบเบอร์ ก็อยากจะแชร์สาระสำคัญให้คนดู แต่กลับมีคนบางกลุ่มที่มองเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าสาระที่เราต้องการจะสื่อออกไป พอเห็นแบบนั้นแล้ว มันทำให้เราเสียความรู้สึก
แม่มด : เคยโดนทักเรื่องหน้าอกเล็ก จะมีคอมเมนต์มาว่า ใส่เสื้อแบบนี้ได้ยังไง หน้าอกเล็กยังจะกล้าใส่เสื้ออีก บางทีก็โดนเรื่องจมูก เค้าจะบอกว่าจมูกแหมบ ทำไมไม่ไปเสริม ถ้าเสริมจะสวยประมาณนั้น
นินนิน : ช่วงแรกๆ ที่เจอ ไม่ค่อยชิน ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เราเป็นแค่คนธรรมดา แต่พอเป็นคนสาธารณะ ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องด่าเราด้วย บางทีเก็บกลับมาคิดเสียใจ พอเราเจอบ่อยๆ ก็เริ่มชิน คิดว่าปล่อยมันไป ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ คำเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียต่อหน้าที่การงาน ก็ใช้แค่ 2 คำคอยปลอบใจ คือ ช่างมัน
กระทั่งวันหนึ่งเราสองคนคุยกันจริงจังว่า จะทำอย่างไรให้สังคมนี้มันเปลี่ยนไป คำพูดเรื่องการดูถูกรูปร่างหน้าตาของคนอื่นจะหายไปจากโลกใบนี้ การไปตอบโต้ หรือด่ากลับ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น จึงตกลงกันว่า เรามาช่วยกันรณรงค์โพสต์ให้กำลังใจคนอื่นเรื่อง Body Shaming รวมถึงเรื่องที่ควรระวังในการพูดถึงคนอื่นจะดีกว่า
จากนั้นก็เกิดเป็นการรณรงค์เอง 2 คน แล้วโพสต์ให้กำลังใจคนที่โดนบูลลี่เรื่องรูปร่าง และให้กำลังใจกับคนที่ยังไม่สามารถสลัดข้อบกพร่องของตัวเองออกไปจากเบื้องลึกในใจของตนเองได้ เลยพยายามเป็นกำลังใจในฐานะแบบเพื่อนสาว และหวังว่าคนที่ได้รับสารจากเราไป จะไปแชร์ต่อให้เพื่อน หรือคนรอบข้างมากขึ้น
...
ให้กำลังใจฉบับ "แม่มด-นินนิน"
แม่มด : มีคนทักมาปรึกษาปัญหาเรื่องการโดนบูลลี่เยอะมาก มีตั้งแต่นักเรียน, นักศึกษา, คนวัยทำงาน, วัยออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งรุ่นใหญ่ มันทำให้เรารู้สึกเป็นคนสำคัญ เพราะเขาอาจจะไปปรึกษาใครไม่ได้แล้วจริงๆ จนกล้าที่จะมาปรึกษาคนที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แปลว่า เขาต้องอัดอั้นตันใจมาก พอมีคนมาปรึกษามากขึ้น ทำให้รู้ว่า สิ่งนี้เป็นปัญหาวงกว้าง ไม่ใช่แค่เพื่อนต่อเพื่อน บางทีมีอาจารย์กับลูกศิษย์ หรือแม้แต่คนในครอบครัวบูลลี่ลูกก็มี ทำให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
นินนิน : อันดับแรกต้องรับฟังปัญหาเขาก่อน และดูว่าปัญหามันคืออะไร ในระดับวัยเขาสามารถแก้ปัญหาได้แค่ไหน พร้อมแนะนำวิธีที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ แรกๆ เคยแนะนำว่า ไม่ต้องไปสนใจ ปล่อย ใครจะพูดอะไรก็พูดไป แต่พอกลับมาคิดดูว่า ถ้าเราปล่อยไปแล้วคนที่พูดกับเรา เขาไม่รู้สึกว่าเราเสียใจ ช่วงหลังเลยแนะนำว่า ให้คุยตรงๆ เลย ว่าพูดแบบนี้ไม่โอเค คุยกันด้วยเหตุผลจริงจัง และก็ซีเรียส เพื่อให้คนนั้นรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ถูกต้อง จะได้ไม่ต้องไปทำแบบนี้กับใครคนอื่นอีก
...
แม่มด : รู้สึกว่าการพูดคุย เป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกเคส ถ้าพูดว่าปล่อยไปก็คงต้องปล่อยไปตลอด แล้วต่อไปจะหาวิธีแก้ไขให้มันดีขึ้นได้ยาก ฉะนั้น การเข้าไปคุยกันตรงๆ อย่างน้อยอาจดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น แต่คนนั้นเขาจะได้รับรู้ว่า สิ่งที่เขาทำอยู่ มันไม่โอเค
เคสสะเทือนใจ ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี
นินนิน : เคสอาจารย์ที่พูดบูลลี่ ล้อเลียนเรื่องหน้าตาของนักศึกษาต่อหน้าชั้นเรียน ที่มีคนประมาณ 50 คน รู้สึกว่ามันสะเทือนใจ การที่คุณเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย อยู่ในวุฒิภาวะที่มีคนเคารพนับถือ แต่กลับเอาตำแหน่งของคุณมาสร้างเรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ทั้งที่ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้นักศึกษา
แม่มด : อย่างที่บอกคือ เห็นใจน้อง และรู้สึกแย่มาก ถ้าเป็นเราคงไม่อยากเรียนอาจารย์คนเดิม ค่อนข้างหนักใจ เคยแนะนำให้น้องเขียนจดหมายแจ้งคณบดีทางมหาวิทยาลัย แต่น้องกลัวมีผลต่อด้านการเรียน บอกแค่ว่าไม่เป็นไร เพียงอยากระบายให้ใครสักคนได้ฟังจริงๆ ก็เท่านั้น ทำให้เห็นว่าปัญหาเรื่องการโดนบูลลี่นั้นมีเยอะมากจริงๆ
สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจในตัวเอง
แม่มด : คิดว่าความมั่นใจ มาจากการเคารพตัวเองก่อน เคารพในสิ่งที่ตัวเองเป็น คือเรารู้สึกว่า คนที่ไม่มั่นใจเหมือนเขายังไม่รู้จักตัวเองมากพอ เขายังคิดว่า เราต้องเป็นแบบคนอื่นถึงจะดูดี แต่จริงๆ แล้วถ้าหัดเคารพตัวเองก่อน ความมั่นใจจะมาเอง
นินนิน : ต้องยอมรับข้อบกพร่องในตนเองก่อน แล้วก็ต้องภูมิใจในตัวเองด้วยว่า ฉันหน้าตาแบบนี้ หุ่นแบบนี้ มีหนึ่งเดียวบนโลก และพอเรารู้สึกเราพิเศษ มีแค่ 1 เดียวบนโลกใบนี้ ทำไมเราต้องอยากไปหุ่นเหมือนใคร หน้าเหมือนใคร มันก็จะมีความสุขขึ้น ใช้ชีวิตง่ายขึ้น และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีคนซัพพอร์ต จะทำให้มีพลังบวกรายล้อมไปหมด ส่งเสริมให้เรามีความสุข และก็มั่นใจกับตัวเอง
เคล็ดลับการดูแลตนเองฉบับ "แม่มด-นินนิน"
แม่มด : เคล็ดลับง่ายๆ คือรู้จักตัวเองก่อน อย่างเรื่องการบำรุง ต้องเลือกดูก่อนว่าเราผิวแบบไหน ต้องบำรุงอย่างไร เลือกตัวสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเข้ากับผิวเรา ส่วนเรื่องรูปร่างเราแค่ต้องรู้สัดส่วนของตัวเอง ต้องรู้ว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเอง ต้องหลีกเลี่ยงแบบไหน
นินนิน : จริงๆ เราสองคนไม่ใช่สายออกกำลังกายจริงจัง แต่อย่างน้อยควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เคยมีช่วงหนึ่งที่เราสองคนเที่ยวหนักมาก ไม่ออกกำลังกายเลย พอป่วย ก็จะหนักมาก ทำให้รู้ว่าถ้ามีโอกาสออกกำลังกายต้องไป เพราะว่าสำคัญ
ฝากถึงคนที่ชอบและไม่ชอบเรา
นินนิน : เข้าใจว่าเราไม่สามารถบังคับให้ทุกคนมาชอบเราทั้งหมดได้ แต่ก่อนที่จะตัดสินกัน ต้องเลิกตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อน บางคนเห็นหน้าก็ไม่ชอบ เช่น สมมติถ้าเปิดคลิปมา ก็ไม่ชอบเราแล้ว จริงๆ ลองฝืนดูอีกทีสิว่า เราพูดเรื่องอะไร ข้อมูลมีประโยชน์ไหม ให้ลองมองหลายๆ มุม อย่ามองคนแค่ด้านเดียว ถ้าสมมติดูแล้วข้อมูลไม่ตรงใจ ประเด็นไม่สละสลวย ไม่ถูกใจก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ขอร้องอย่าตัดสินกันเพียงหน้าตารูปลักษณ์ภายนอกเลย
แม่มด : จริงๆ ตอนแรกก็มีคนไม่ชอบพวกเราเลย แต่พอติดตามไปสักพักพวกเขาก็เปลี่ยนจากไม่ชอบมาเป็นรัก ด้วยทัศนคติความคิดต่างๆ ก็อยากให้ลองเปิดใจดูก่อน และต้องบอกว่าขอบคุณมากๆ สำหรับคนที่ติดตามเรามาตั้งแต่แรก ค่อนข้างภูมิใจที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเอง บางคนได้รับแรงผลักดันดีๆ จนเปลี่ยนความคิดแล้วมีความสุขกับตัวเองมากขึ้น
สุดท้าย แม่มดและนินนิน ฝากถึงคนที่ยังไม่กล้าลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเอง เพราะยังไม่มีความมั่นใจ พร้อมแนะนำว่า อันดับแรกให้หาไอดอลก่อน ไม่มีใครออกมาจากท้องแม่แล้วมั่นใจเลย ทุกคนต้องใช้เวลา ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเอง เชื่อว่าต้องมีไอดอลสักคนที่เราติดตามแล้วทำให้เรามีทัศนคติดีๆ จนอยากลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ลองเอาเทคนิคพวกเขาเหล่านั้นมาปรับใช้กับชีวิต จนเจอหนทางของตัวเอง.
ผู้เขียน : กนก ถกคนดัง
กราฟิก : Theerapong.c