ถามตรงๆ กับจอมขวัญ ร่วมวิเคราะห์คดีสินบน 20 ล้าน ทุจริตเจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินฯ เคลียร์ให้ชัด ทำไมอัยการไม่ฟ้อง "น้องธนาธร"
ถามตรงๆ กับจอมขวัญ วันที่ 9 ธ.ค. นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมวิเคราะห์คดี นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัท เรียลแอสเสท ดิวิลอปเม้นท์ จำกัด น้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กรณีมีการอ้างว่าให้สินบนเจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งอัยการสูงสุดชี้แจงว่า คดียังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ยังไม่ถึงอัยการ (อ่านต่อ : อัยการ แจงไม่ฟ้อง "น้องธนาธร" จ่ายใต้โต๊ะ จนท.ทรัพย์สินฯ ชี้ไม่ใช่ผู้ต้องหา)
โดย จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ชี้แจงว่า ทางรายการได้มีการติดต่อไปยัง นายสกุลธร จนถึงเลขา แล้ว ซึ่งทางเลขาชี้แจงว่า ยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ ซึ่งจะได้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้งเร็วๆ นี้
จากนั้น นายวัชระ เผยว่า ตนได้เอกสารคำพิพากษาฉบับนี้ทางไปรษณีย์ จ่าหน้าซองถึงตน โดยไม่มีชื่อผู้ส่ง ซึ่ง 2 คน ถูกตัดสินไปแล้วเมื่อปี 62 เป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และบุคคลทั่วไป ที่เป็นคนกลาง
ทั้งนี้ หากสรุปความจากเอกสารให้เข้าใจง่ายคือ จริงๆ แล้วตกลงกันที่ 500 ล้านบาท แต่ 20 ล้านบาท เป็นค่าดำเนินการเบื้องต้นในการติดต่อประสานงาน
เมื่อถามว่า ถ้ามีการติดสินบนกันจริง คนที่เกี่ยวข้องพยายามจะติดสินบน ทำไมไม่มีการฟ้อง ซึ่งตรงนี้เป็นคำถามซึ่งกลับไปที่อัยการ นายประยุทธ ระบุว่า หลังจากที่เกิดเรื่องได้ทำการตรวจสอบสำนวนคดีนี้ทันที ปรากฏว่า เมื่อคณะโฆษกเอาสำนวนมาดู ได้ความย่อๆ ว่า สำนวนนี้กองปราบส่งมาให้สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายการปราบปรามทุจริต 4 พิจารณา ในสำนวนมีการกล่าวหาผู้ต้องหา 2 คน คือ นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ ผู้ต้องหาที่ 1 ที่เป็นข้าราชการสำนักงานทรัพย์สิน และนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นนายหน้าขายที่ดินอิสระ โดยไม่มีชื่อ นายสกุลธร อยู่ในสำนวน
ตามหลักเมื่อไม่มีชื่อ นายสกุลธร อยู่ในสำนวน ดังนั้นการที่บอกว่า อัยการไม่ฟ้อง นายสกุลธร จึงไม่เป็นความจริง เพราะว่าอัยการจะพิจารณาสำนวนเฉพาะตัวผู้ต้องหาที่ทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมส่งให้อัยการพิจารณา เราไม่สามารถพิจารณานอกเหนือสำนวนได้
และในรายงานของพนักงานสอบสวน มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่า ในส่วนของ นายสกุลธร อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป หมายความว่า มีการแยกสำนวนออกไป เมื่อแยกออกไปทางอัยการก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำการดำเนินคดีในส่วนนี้
ในการแถลงข่าววันนี้ได้ชี้แจงแล้วว่า ในส่วนของผู้ต้องหา 2 คนที่สั่งฟ้องไป ได้ให้การรับสารภาพ ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม และร่วมกันเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจ หรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยทุจริต หรือผิดกฎหมาย ให้ทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ เมื่อสารภาพ ศาลสามารถพิพากษาได้เลย โดยไม่ต้องสืบพยาน ดังนั้น คำพิพากษาที่ได้อ่านไปก่อนหน้านี้ ก็เป็นการอ่านจากคำฟ้องของอัยการ เพราะไม่มีการสืบพยาน
...
และในส่วนของ นายสกุลธร ไม่ใช่ว่าอัยการไม่ดำเนินคดี ไม่ใช่สั่งไม่ฟ้อง แต่เป็นกรณีที่ไม่ปรากฏอยู่ในสำนวน และพนักงานสอบสวนก็แจ้งไว้ชัดเจนว่า แยกดำเนินคดีไปแล้ว และที่มีการถามว่า ได้ทวงถามไปยังพนักงานสอบสวนหรือไม่ ต้องชี้แจงว่า กระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน เป็นอำนาจอิสระ ไม่สามารถไปก้าวล่วงได้
ทั้งนี้ นายวัชระ ถามว่า เมื่อคำพิพากษาเขียนตามคำฟ้องของอัยการ ก็สงสัยว่า เมื่ออัยการระบุชัดเจนว่า นายสกุลธร เป็นคนที่จะให้เงินจำนวน 20 ล้าน ซึ่งอยู่ในคำฟ้องของอัยการแล้ว ก็แสดงว่า น่าจะต้องมีชื่อของ นายสกุลธร อยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวนตั้งแต่ต้น แล้วทำไมอัยการถึงไม่สั่งตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน ที่เป็นเจ้าของสำนวน ว่าเมื่อปรากฏชัดว่า นายสกุลธร ให้เงินกับเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าว ทำไมไม่ฟ้องเป็นสำนวนเดียว ทำไมไม่ท้วง
นายประยุทธ ระบุว่า การทำงานของอัยการ จะมีข้อกฎหมายอยู่ว่า อัยการจะพิจารณาสำนวนจากการสอบสวน และจะไม่สามารถฟ้องใครได้ นอกจากผู้ต้องหาที่อยู่ในสำนวน และที่ถามว่า เห็นแล้วว่า มีการอ้างอิง นายสกุลธร ทำไมไม่รวบในคราวเดียวกัน ต้องอธิบายว่า เมื่อพนักงานสอบสวนทำสำนวนเสร็จ และทำรายงานการสอบสวนปะหน้า เรื่องโดยย่อเป็นอย่างไร เห็นควรฟ้องใคร หรือไม่ฟ้องใครอย่างไร ซึ่งในส่วนของ นายสกุลธร ได้มีการสรุปมาแล้วว่า แยกดำเนินการต่างหากแล้ว อันนี้ชัดเจน เมื่อบอกว่าแยกแล้ว จะสั่งในส่วนนี้ไม่ได้ เนื่องจากยังสอบไม่เสร็จ และอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน
เมื่อถามว่า แต่ในคำพิพากษา จะบรรยายพฤติกรรมของ นายสกุลธร ไว้อย่างละเอียดแล้ว นายประยุทธ ระบุว่า ข้อเท็จจริงนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากคำให้การของผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งก็ต้องฟังความจาก นายสกุลธร ด้วย เรายังไม่สามารถสรุปได้ ต้องให้ทางพนักงานสอบสวนทำสำนวนมาก่อน
แต่เมื่อมันพัวพันกับ นายสกุลธร ทำไมถึงไม่เรียก นายสกุลธร มายืนยัน ทำไมรวบเข้ามาเป็นสำนวนเดียวกันไม่ได้ นายประยุทธ ระบุว่า ในสำนวนคดีนี้ ตั้งผู้ต้องหามา 2 คน พนักงานสอบสวนเราเห็นว่า มีการพาดพิง นายสกุลธร ในระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ ระบุไว้ว่า เป็นกรณีเกี่ยวโยงถึงใคร หากจำต้องแนะนำดำเนินคดี ก็ให้แนะนำพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับบุคคลนั้นๆ ได้ โดยให้เสนอตามขั้นตอน แต่ประเด็นนี้ ถ้าทั่วไป อัยการควรแนะนำให้ดำเนินคดี แต่ที่ไม่แนะนำ เพราะตำรวจบอกว่า แยกสอบสวนอยู่
เมื่อถามว่า ตำรวจทำสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 คน วันที่เท่าไร เดือนอะไร นายประยุทธ ระบุว่า เดือนเมษายน 2562
ซึ่งนายวัชระบอกว่า จากวันนั้นถึงวันนี้เกือบปีแล้ว อยากรู้ว่าอัยการได้สั่งไปที่พนักงานสอบสวนเพื่อติดตามคดีนี้บ้างหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า อัยการจะไม่ลงไปก้าวล่วงกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน แต่ถ้าส่งสำนวนมาแล้วมีประเด็นต้องสอบสวนเพิ่ม อัยการจะสั่งไป อีกทั้งไม่มีกฎหมายให้ทำอย่างนั้นได้.