การบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตรตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-map) ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งมีพื้นที่เหมาะสมมากและปานกลาง (S1, S2) สำหรับการปลูกข้าว 2,225,450 ไร่ และมีพื้นที่เหมาะสมน้อยและไม่เหมาะสม (S3, N) 361,077 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ อ.ไพศาลี, หนองบัว และพยุหะคีรี

นายไพฑูรย์ สีลาพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 12 จังหวัดนครสวรรค์ (สศท.12) เผยว่า เกษตรกรปลูกข้าวนาปีในพื้นที่เหมาะสม S1/S2 จะได้กำไรเฉลี่ยไร่ละ 1,168 บาท ในขณะที่เกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปี ในพื้นที่ S3/N จะได้รับกำไรแค่เพียงไร่ละ 173 บาทเท่านั้น

...
“หากพิจารณาสินค้าทางเลือกที่น่าสนใจเพื่อปรับเปลี่ยนนาข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม พบว่ามีสินค้าหลายชนิดที่ให้ผลตอบแทนดี อาทิ ข้าวโพดหวาน มีต้นทุนการผลิตไร่ละ 7,099 บาท ปลูกช่วงเดือนพฤษภาคม ใช้เวลา 3 เดือน จะได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 2,557 กก. เกษตรกรได้ผลตอบแทนไร่ละ 10,228 บาท หักต้นทุนแล้วจะได้กำไรเฉลี่ยไร่ละ 3,128 บาท”

ผอ.สศท.12 เผยอีกว่า สินค้าทางเลือกอีกชนิดหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนสูง คือ กล้วยหอมคาเวนดิช หรือกล้วยหอมเขียว มีต้นทุนการผลิตไร่ละ 16,936 บาท เกษตรกรนิยมปลูกช่วงเดือนพฤษภาคม เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงเดือนธันวาคม จะเริ่มให้ผลผลิตในเดือนที่ 8 แต่เก็บเกี่ยวได้ 3-4 ปี ให้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 2,819 กก. ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ที่ กก.ละ 8 บาท เกษตรกรจะได้กำไรเฉลี่ยไร่ละ 5,616 บาท โดยผลผลิตส่วนใหญ่ร้อยละ 98.2 ส่งขายพ่อค้าคนกลางมารับซื้อหน้าสวน

“แตงโมเป็นพืชอีกชนิดที่น่าสนใจ มีต้นทุนการผลิตไร่ละ 9,753 บาท นิยมปลูกช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ให้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 2,633 กก. เกษตรกรได้ผลตอบแทนไร่ละ 15,804 บาท เกษตรกรจะได้กำไรเฉลี่ยไร่ละ 6,051 บาท ที่สำคัญแตงโมยังเป็นพืชที่ต้องการใช้น้ำแค่เพียงไร่ละ 655 ลบ.ม. ในขณะที่ข้าวมีความต้องการใช้น้ำมากถึง 1,351 ลบ.ม. ดังนั้น แตงโมจึงเป็นพืชทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการปลูกในพื้นที่ที่ใช้น้ำน้อยและใช้ระยะเวลาการปลูกสั้นเพียง 2-3 เดือน” นายไพฑูรย์ กล่าว.