ความเคลื่อนไหว“กลุ่มราษฎร” ที่ยังปักธงชุมนุมยกระดับแสดงออกเจตนารมณ์ 3 ข้อเรียกร้องกันอย่างเข้มข้น และมักมีการกระทบกระทั่งกับ “ตำรวจปราบจลาจล” ถี่ยิ่งขึ้นเช่นกัน ในบางครั้งยังมีเหตุปะทะกับ “กลุ่มความเห็นต่าง” จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บมาอย่างต่อเนื่อง

ดั่งเหตุ “หน้ารัฐสภาเกียกกาย” ผู้ชุมนุมพยายามฝ่าแนวกั้น รื้อถอนทำลายรั้วหนามแบริเออร์ ที่ใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการปาพลุควันพลุไฟ “ตำรวจ” ทำให้ฉีดน้ำเตือน แต่ผู้ชุมนุมไม่หยุด จึงจำเป็นต้องใช้น้ำผสมสารเคมีฉีด ก่อนใช้แก๊สน้ำตาชนิดขว้างระงับเหตุ และตำรวจถอยร่นมาหน้าประตูรัฐสภา

บานปลายเป็น “ม็อบชนม็อบ” ระหว่าง “กลุ่มราษฎร” และ “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” ที่ชุมนุมอยู่ใกล้กัน มีผู้บาดเจ็บ 55 ราย เป็นแก๊สน้ำตา 32 ราย ถูกยิง 6 ราย แผลลวดหนามถูกตี 13 ราย มีผู้ต้องนอนพักรักษา 4 ราย

...

กลายเป็นชนวนให้ “กลุ่มราษฎร” เกิดข้อสงสัยกรณี “ตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุ” และ “นัดชุมนุมแยกราชประสงค์” เคลื่อนมาหน้า สตช. มีกิจกรรมสาดสี พ่นสี ขว้างก้อนหินใส่เข้าใน สตช.ทำให้กำแพงเลอะไปด้วยสี

ด้วยเหตุนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ออกแถลงการณ์ถึงความจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติ โดยจะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่ ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมที่กระทำความผิด ฝ่าฝืนกฎหมาย เพิกเฉยต่อการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น

โดยจะดำเนินคดีต่างๆ ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ที่สอดคล้องกับหลักการสากล เพราะสถานการณ์ชุมนุมมีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งนำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ทว่า...“การใช้กฎหมายเฉียบขาด” เข้ามาคลี่คลายวิกฤติความขัดแย้งในสังคมไทยนี้ กลายเป็นเรื่องถูกมองว่า “รัฐบาลกำลังปิดประตูพูดคุยเจรจาในการประนีประนอมกันแล้วหรือไม่” เสมือนกำลัง “เติมเชื้อเพลิง” ปลุกเร้าอารมณ์ร่วมให้ผู้ชุมนุมส่อยกระดับนำไปสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่

ภายหลังออกแถลงการณ์ไม่นาน “แกนนำม็อบราษฎร” ก็โพสต์ข้อความว่า “ประยุทธ์ประกาศรบกับประชาชน” พร้อมทั้งให้ “ข้าราชการเลือกข้าง” ที่จะอยู่กับอดีต หรือจะสร้างอนาคตไปพร้อมกัน และประกาศให้เพื่อนร่วมขบวนราษฎร เตรียมพร้อมอุปกรณ์ป้องกัน และดูแลจิตใจให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นต่อสู้ เพื่อสังคมใหม่

สะท้อนให้เห็นชนวนเหตุแผ่ขยายลุกลามสู่ความรุนแรงยิ่งขึ้น ที่กำลังกลับเข้ามาสู่วังวน “การเมืองไทย” แบบเดิมอีก เรื่องนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. มองว่า ตามแนวคิด “คนรุ่นใหม่” ออกมาชุมนุมครั้งนี้มีจุดประสงค์ต้องการปรับเปลี่ยนสังคมให้ดีกว่าเดิม ที่มีความต่างจากการเคลื่อนไหวในอดีต

โดยเฉพาะ “เหตุการณ์ 14 ตุลา 16” ต้องการเปลี่ยนแปลง “ระบอบเผด็จการ” ให้เป็น “การปกครองระบอบประชาธิปไตย” เรียกร้องให้ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร มีจุดประสงค์หลักใหญ่ “คนรุ่นใหม่” อยากมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมือง ทั้งเข้าสู่การสมัครรับเลือกตั้ง หรือการลงเลือกตั้ง

ครานั้นมีเหตุติดขัดกระบวนการปกครอง ที่ยังอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการมาอย่างยาวนาน ทำให้ประชาชนไม่มีปากไม่มีเสียง ที่สั่งสมความกดดันของการเมืองไทย ส่งผลให้ “นักศึกษา” ออกมาชุมนุมเรียกร้องกัน

ตอนนี้กระบวนการชุมนุมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ราษฎร” มีลักษณะการเรียกร้องแบบผสมผสานในการ “แก้รัฐธรรมนูญ 2560” ที่มีเบื้องหลังเป้าหมายใหญ่มุ่งเรื่อง “สถาบัน” ในการกำหนดบทบาท และเปลี่ยนแปลง “ปฏิรูประบบ” ที่อยู่ในข้อเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับของไอลอว์ และเรื่องนี้ก็ไม่เคยมีใครมีความคิดเช่นนี้มาก่อนด้วยซ้ำ

เพราะ “สถาบันคู่มากับชาติไทย” คนไทยเคารพเทิดทูนสูงสุดมาตลอดหลายร้อยปี ดังนั้น การคิดเปลี่ยนแปลง “ในเวลาชั่ววูบ หรือชั่วขณะ” ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทำให้เกิด “แรงต่อต้าน” มีคนคัดค้านไม่เห็นด้วยมากมาย

...

เช่นเหตุ “ชุมนุมเกียกกาย” มีข้อสังเกตว่า อาจมีผู้หวังผลประโยชน์เข้ามาผสมโรงด้วยหรือไม่ เพราะหากชุมนุมโดยเจตนาดี เจตนาบริสุทธิ์ มีเฉพาะ “เด็กเยาวชนจริงๆ” น่าจะพูดคุยตกลงเข้าใจกันได้ง่าย แต่พอมี “คนอยู่เบื้องหลัง” ที่คิดแต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่มีผลกระทบติดตามมา

ทำให้...“ความขัดแย้ง” เพื่อหาข้อยุติคงทำยากขึ้นทุกขณะ อาจหันเข้าสู่แนวคิด “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา “เวทีปรองดองสมานฉันท์” ที่เป็นทางเลือกดีที่สุด และคงไม่มีทางอื่น ด้วยให้ฝ่ายขัดแย้งร่วมพูดคุยกัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ง่าย เพราะขาดฝ่ายหนึ่งไปก็ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ทันที

แต่ก็มีความคืบหน้าในทางที่ดี...คือ “ร่างแก้รัฐธรรมนูญ” ไม่น่าเชื่อว่า “รัฐธรรมนูญ 2560” ถูกใช้มาไม่นานกลับมีปัญหามากมาย ทำให้หลายฝ่ายเห็นตรงกัน “ยอมร่างรัฐธรรมนูญใหม่” ส่วน “เวทีปรองดองสมานฉันท์” ยังมีฝ่ายไม่เห็นด้วย ที่ต่างมีจุดมุ่งหมาย “ลงถนนเรียกร้อง” ทำให้ “นายกฯ” ใช้กฎหมายบังคับจริงจังนี้

...

เหตุเพราะพยายามใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย แต่กลับไม่คลี่คลาย ทั้งยังพัฒนาความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ดังนั้น สถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้ที่ไม่ใช่ปกติแล้วคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

จริงๆแล้ว...“ประเทศไทย” มีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในการควบคุมโควิด-19 อยู่เดิม ที่สามารถควบคุมเหตุการณ์อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง หรือความปลอดภัยแห่งรัฐ หรืออันอาจทำให้รัฐตกอยู่ในภาวะคับขัน ซึ่ง “นายกฯ” เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการบังคับใช้แล้ว ที่ไม่ต้องใช้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 ด้วยซ้ำ

เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้การใช้กฎหมายซ้ำซ้อนกัน 2 ฉบับ เพราะตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 ม.3 พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่การชุมนุมสาธารณะ ต่อไปนี้ (6) การชุมนุมสาธารณะในระหว่างเวลามีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใช้กฎอัยการศึก และการชุมนุมสาธารณะ

นั่นหมายความว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีอำนาจบังคับใช้เบ็ดเสร็จ ทั้งห้ามออกจากบ้าน การชุมนุมกลายเป็นว่า “ตำรวจ” ไม่เข้าใจ เมื่อ “ชุมนุม” ก็ใช้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ออกหมายเรียก หรือหมายจับ ที่ไม่สามารถทำได้ แต่ควรออกหมายตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ประกาศขยายกันมาจนถึง 30 พ.ย.63 และคาดว่าจะขยายเพิ่มอีกด้วยซ้ำ

สิ่งนี้ทำให้ “ตำรวจพะวักพะวน” การชุมนุมต้องขออนุญาตหรือไม่ แต่ถ้าไม่ขออนุญาตก็ผิดกฎหมาย เช่นนี้เป็นการใช้กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามหลัก เพราะ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ ระบุชัดว่า ไม่ให้ใช้บังคับกรณีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้ว ดังนั้น การจะขออนุญาตชุมนุม หรือไม่ขออนุญาต ก็มีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

...

“ฉะนั้นในสายตาของนักกฎหมาย “หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง” ต้องสถาปนาอำนาจหลักการบังคับใช้ให้ถูกต้อง ในการดำเนินการต่อการชุมนุมให้เหมาะสมตามหลักกฎหมาย มิเช่นนั้นปัญหาตามมา “ทนายความฝ่ายตรงข้าม” จะสามารถคัดค้านใน “ชั้นอัยการ” ทำให้คดีกลายเป็นหมันก็ได้” ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา ว่า

ย้อนกลับมา...“นายกฯ บังคับใช้กฎหมายจริงจัง” เรื่องนี้มองได้ว่า ความขัดแย้งมีโอกาสพัฒนาไปสู่ความรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะ “ฝ่ายผู้ชุมนุม” ก็ประกาศยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นต้องจับตา “ฝ่ายรัฐ” จะมีกลไกในการใช้กฎหมายให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ผู้ชุมนุมนี้อย่างไร ที่ไม่อาจใช้แบบตะบี้ตะบันบังคับอย่างเดียวคงไม่ได้

ดังนั้น “การบังคับใช้กฎหมาย” ต้องแยกให้เหมาะสมกับ “ผู้ร่วมชุมนุม” ไม่ใช่เหมารวมเป็นผู้กระทำผิดทั้งหมด ในบางคนมีเจตนาเข้ามาชุมนุมอย่างสงบก็มี แต่กลุ่มแฝงมาก่อความวุ่นวาย ใช้วาจารุนแรง หรือกระทำการล่วงล้ำก้ำเกินสถาบันก็มี เหตุนี้ “ฝ่ายรัฐ” มีกำลังคน เครื่องมือ คงต้องแยกแยะดำเนินการกับผู้ทำผิดกฎหมายจริงๆ

หนำซ้ำ...กระบวนการขั้นตอน “ตำรวจ” ดำเนินการต่อ “ผู้ชุมนุม” ทั้งในการขับไล่ หรือผลักดัน ต้องมีความเหมาะสมด้วยเหตุผลสูงสุด ถ้ายัง “ไม่มีล่วงล้ำก้ำเกิน” มีการกระทำต่อผู้ชุมนุมไป ก็ย่อมเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุอยู่แล้ว โดยเฉพาะขั้นตอนดำเนินการจากเบาไปหาหนัก ที่ต้องแจ้งเตือนให้ผู้ชุมนุมทราบล่วงหน้าก่อนเสมอ

ส่วน “ตำรวจ” กระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ หรือ “ผู้ชุมนุม” กระทำผิดกฎหมายอย่างไร เรื่องนี้คงไม่มีใครสามารถชี้ขาดได้ แต่ต้องเข้าสู่กระบวนการ “ในชั้นศาล” เป็นผู้พิจารณาพิพากษาต่อไป...

ย้ำว่า...“การชุมนุมอย่างสงบ” เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ เช่นนี้การบังคับใช้กฎหมายต้องดำเนินการกับ “ผู้กระทำผิดจริงๆ” ไม่ใช่เหมารวม “ผู้บริสุทธิ์” มิเช่นนั้นจะกลายเป็นรอยร้าวให้ความขัดแย้งรุนแรงซ้ำรอยอดีต.