ข่าวการหลอกลวงด้วยวิธีการต่าง ๆ ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ความสนิทสนม และความไว้วางใจหลอกขอข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลบัตรประชาชนเพื่อนำไปกระทำความผิด อาทิ การนำบัตรประชาชนของเหยื่อไปเปิดบัญชีธนาคารรับโอนเงินต้มตุ๋นบุคคลอื่น หรือแม้แต่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่คนร้ายใช้ช่องทางจ้างวานผู้รับจ้างไปซื้อสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ในราคาโปรโมชั่นจากค่ายมือถือเพื่อแลกกับค่าตอบแทนหลักร้อยบาท ก่อนนำไปขายเป็นสมาร์ทโฟนมือสองราคาถูก ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางด้านทรัพย์สินและการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของผู้รับจ้างและผู้ซื้อเครื่องต่อ
เอไอเอส อาสาออกมาเปิดโปงขบวนการดังกล่าว พร้อมเตือนภัยประชาชนอย่าหลงเชื่อให้ข้อมูลบัตรประชาชนกับบุคคลอื่นเด็ดขาด โดยยกตัวอย่างคดีความที่เกิดขึ้นกับบริษัทที่คนร้ายได้ใช้ความสนิทสนมและอ้างตัวว่าเป็นพนักงานหลอกให้ผู้รับจ้างใช้บัตรประชาชนเพื่อซื้อเครื่องโทรศัพท์ในโปรโมชั่นลดราคาพิเศษที่ประกอบด้วย เครื่องโทรศัพท์มือถือ พร้อมเบอร์ และแพ็กเกจจากเอไอเอส โดยในเงื่อนไขจะต้องเปิดเบอร์และใช้งานกับเครื่องที่ซื้อมา พร้อมชำระเงินต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด แต่กลุ่มผู้รับจ้างเมื่อซื้อเครื่องแล้วกลับนำไปส่งต่อให้คนร้าย โดยคนร้ายให้ค่าตอบแทนสำหรับผู้รับจ้างที่ยอมใช้สิทธิ์และใช้ข้อมูลบัตรประชาชนคนละ 600-1,000 บาท โดยคนร้ายอ้างว่าได้เคลียร์กับเอไอเอสแล้ว จะไม่มีหนังสือติดตามทวงหนี้จากเอไอเอสไปยังผู้รับจ้างอย่างแน่นอน จากนั้นคนร้ายนำเครื่องโทรศัพท์ไปแยกขายให้บุคคลอื่นต่อ ทำให้เบอร์ที่ผู้รับจ้างเปิดไว้ไม่มีการใช้งานจริงตามเงื่อนไขแพ็กเกจที่สมัคร รวมถึงไม่มีการชำระค่าบริการตามสัญญา ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดสัญญาในเงื่อนไขการซื้อ
ผู้กระทำคนหนึ่งที่ร่วมกระทำความผิดกับคนร้ายกล่าวว่า “เพื่อนคนหนึ่งอ้างว่าเคยเป็นพนักงานเอไอเอสขอให้ใช้บัตรประชาชนไปซื้อโทรศัพท์ให้ โดยระบุมาชัดเจนว่าต้องซื้อรุ่นไหน ที่ไหน สร้างความมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไรตามมาและได้ค่าตอบแทนจริง ๆ จึงซื้อให้ 2 เครื่องได้ค่าตอบแทนรวมประมาณ 700 บาท จากนั้นเลยไปชักชวนรุ่นน้องรวม 16 คน มาเป็นผู้รับจ้างด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีใบแจ้งหนี้จาก AIS มา และไม่สามารถติดต่อกลับไปยังเพื่อนคนนั้นได้อีก จึงเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจและ AIS ว่าถูกหลอกลวง”
โปรโมชั่นต่าง ๆ จากค่ายโทรศัพท์จัดขึ้นเพื่ออยากให้ลูกค้ามีโอกาสใช้โทรศัพท์รุ่นไฮเอนด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยไม่เป็นภาระแก่ลูกค้า เพียงต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นได้ส่งผลร้ายหลายอย่าง นายนรินทร์ จุ่มศรี ผู้จัดการฝ่ายคดีเอไอเอส อธิบายเรื่องนี้ว่า “บริษัทออกแบบโปรโมชั่นเพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชาชน แต่มีกลุ่มมิจฉาชีพอาศัยช่องทางนี้กระทำความผิด โดยการหลอกลวงให้บุคคลอื่นมาเปิดใช้ซิมการ์ดและซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาพิเศษ โดยมีเจตนาที่จะไม่ผูกพันกับสัญญาของบริษัท ซึ่งรู้ได้จากความผิดปกติที่เกิดขึ้นว่าเบอร์นี้ไม่มีการโทรและเงียบหายไป และเริ่มมีการนำเครื่องไปขายเป็นเครื่องมือสองในตลาดเยอะขึ้น แม้ส่วนหนึ่งจะเกิดความเสียหายกับบริษัท แต่สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือคนที่ถูกหลอกลวง เพราะบริษัทจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด และจะมีชื่อติด Black List ในระบบ ส่งผลให้ในอนาคตจะมีปัญหาในการทำธุรกรรมกับค่ายมือถือ ซึ่งปัจจุบันมีระบบตรวจสอบอย่างเข้มข้น จึงอยากฝากเตือนว่าอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่อ้างตัวว่าเคยเป็นพนักงานเอไอเอสว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีใครสามารถลบข้อมูลจากบริษัทได้ อย่าหลงเชื่อบุคคลใดที่กล่าวอ้างและบอกว่าจะให้ค่าตอบแทนหากใช้บัตรประจำตัวประชาชนหรือข้อมูลส่วนตัวในการทำธุรกรรมหรือการซื้อขายใด ๆ รวมถึงเมื่อต้องซื้อโทรศัพท์อยากให้ฉุกคิดว่าหากถูกกว่าราคาตลาดมาก ๆ แสดงว่าคนขายได้มาอย่างไม่ถูกต้อง”
สำหรับพฤติกรรมข้างต้น ร.ต.อ.ทิวากร โปร่งเส็ง พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ แจ้งว่า “คดีการหลอกลวงลักษณะนี้พบเป็นจำนวนมากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยความผิดทางกฎหมายที่เจ้าของบัตรประชาชนจะได้รับเมื่อทำสัญญาซื้อเครื่องโทรศัพท์พร้อมแพ็กเกจ คือ บทลงโทษฐานฉ้อโกง มาตรา ๓๔๑ โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ อีกทั้งผู้ที่รับซื้อเครื่องต่อไปจะเข้าข่ายความผิดฐานรับของโจร มาตรา ๓๕๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นอยากฝากเตือนประชาชนทุกคนว่าบัตรประชาชนเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด การจะมอบให้บุคคลไหนไปทำธุรกรรมใด ๆ จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ทั้งนี้อาจถูกนำซิมการ์ดและเบอร์โทรศัพท์ไปทำความผิดอื่น ๆ อาจจะได้รับโทษทางกฎหมายเพิ่มเติม ต้องระวังให้มาก”
การหลอกลวงด้วยวิธีการต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นได้ การเพิ่มความระมัดระวังจากการใช้บัตรประชาชนกระทำการใด ๆ ต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ
สำหรับคดีความที่เกิดขึ้น เอไอเอสอยู่ในขั้นตอนดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด จึงต้องการย้ำเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อ และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไปดำเนินการอย่างไม่ถูกต้องจนตัวเองได้รับโทษทางกฎหมาย รวมถึงการซื้อโทรศัพท์มือถือต้องทราบแหล่งที่มาแน่ชัด มิเช่นนั้นอาจเข้าข่ายรับซื้อของโจรจนต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในที่สุด