การเขียนสะกดคำในพจนานุกรมคำใหม่ที่เคยเขียนถึงและระบุว่าไม่ยอมรับการเรียกขานสร้อยข้อมือผู้ชายที่ราชบัณฑิตกำหนดให้เรียกว่า เหลส เพราะเคยชินกับการใช้ว่า เลซ หรือ เลส นั้น
สำนักงานราชบัณฑิตยสภา แจ้งมาว่าได้จัดพิมพ์หนังสือ พจนานุกรมคำใหม่ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 1-2 ครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2557 หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมคำที่เกิดขึ้นใหม่และคำที่เปลี่ยนแปลงการใช้ หรือเปลี่ยนแปลงความหมายไปจากเดิม รวมทั้งที่ใช้มานานแล้วแต่ยังไม่ได้เก็บไว้ใน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
การจัดทำหนังสือเล่มนี้มีขอบเขตการเก็บคำ รูปแบบการจัดทำ และการเขียนสะกดคำ ระบุไว้อย่างชัดเจนในคำชี้แจงการจัดทำหนังสือพจนานุกรมคำใหม่ ผู้อ่านควรอ่านและทำความเข้าใจหลักเกณฑ์การจัดทำดังกล่าว โดยเฉพาะหลักการเขียนสะกดคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ ซึ่งมีข้อมูลระบุไว้ในคำชี้แจงเรื่อง “การสะกดคำ” ดังนี้
1.คำที่ยืมจากภาษาต่างประเทศเขียนตามหลักเกณฑ์การทับศัพท์ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เช่น ฟอนต์ ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคำว่า font, คอร์ส ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคำว่า course, ซีน ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคำว่า scene, เลต ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคำว่า late
2.คำที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศเป็นเวลานานและปรับการออกเสียงตามระบบการออกเสียงในภาษาไทยแล้ว เขียนตามเสียงที่คนไทยส่วนใหญ่ออกเสียงคำนั้นๆ เช่น บ๊ายบาย มาจากภาษาอังกฤษคำว่า bye-bye, บิ๊ก มาจากภาษาอังกฤษคำว่า big
3.คำที่สร้างขึ้นโดยเทียบเคียงจากคำภาษาต่างประเทศ เขียนตามเสียงที่คนไทยส่วนใหญ่ออกเสียงคำนั้นๆ เช่น ชิวชิว เทียบเคียงมาจากภาษาอังกฤษคำว่า chill หรือ chill out, ซิ่ว ตัดมาจากภาษาอังกฤษคำว่า fossil, เหลส ตัดมาจากภาษาอังกฤษคำว่า stainless
...
จากคำชี้แจงข้างต้นจะเห็นได้ว่าสำนักงานราชบัณฑิตยสภามีหลักเกณฑ์ในการเขียนสะกดคำที่ชัดเจน ยกตัวอย่างคำว่า เลต ในพจนานุกรมคำใหม่ หน้า 305 มาจากภาษาอังกฤษคำว่า late จึงใช้หลักเกณฑ์การเขียนทับศัพท์ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภาตามเกณฑ์ข้อ 1 ส่วนคำว่า เหลส ในพจนานุกรมคำใหม่ หน้า 361 เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษคำว่า stainless แต่คนไทยไม่ได้พูดเต็มๆ นิยมพูดสั้นๆ ว่า “เหลส” จึงใช้หลักการเขียนสะกดคำโดยเทียบเคียงจากคำภาษาต่างประเทศและเขียนตามเสียงที่คนไทยส่วนใหญ่ออกเสียงคำนั้นๆ ตามเกณฑ์ข้อ 3
นั่นคือคำชี้แจงที่มีมาจากราชบัณฑิตยสภา แต่ว่าคงไม่ขัดข้องที่จะออกความเห็นเพิ่มเติมว่านี่เป็นแนวทางที่แนะนำ ให้เขียนอย่างนี้อย่างนั้น คือรับฟัง แต่ไม่แน่ว่าต้องทำตาม
เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว การสื่อสารความหมายของคำนั้นย่อมมีความแตกต่างกันไป ตราบใดที่ไม่ว่า ราชบัณฑิต หรือใครก็ไม่สามารถเอาชนะความนิยมหรือความเคยชินของผู้คน
อย่างข้อ 3 นั้นถ้าจะเอาอย่างนั้นมิต้องออกชื่อประเทศ BRAZIL เสียใหม่ เป็น บราซิว หรอกหรือ
อีกประการหนึ่งขอยกตัวอย่างเช่นคำจากภาษาอังกฤษ ที่ว่า PARADE ที่แปลว่า การเดินขบวน ใครๆก็เขียนว่า พาเหรด ไม่เคยเขียนว่า พาเรด ในขณะที่คำที่คล้ายคลึงกันคือคำว่า PALACE ที่แปลว่า พระราชวัง ไม่เคยเห็นว่าใครเขียนในรูปภาษาไทยว่า พาเหลซ มีแต่ พาเลซ เท่านั้น
จะอ้างข้อ 1 ข้อ 2 ก็ยังทะแม่งๆอยู่เพราะทั้ง 2 คำนี้คนไทยรู้จักมายาวนานพอๆกันทั้งการเดินพาเหรด และพระราชวังบั๊กกิ้งแฮมพาเลซ
ถ้าจะให้เป็นกลางและเป็นธรรมควรบอกว่าใช้ เหลส หรือ เลซ ก็ได้.
“ซี.12”