เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกุ้งก้ามกรามให้ได้ 40,000 ตัน ภายในปี 2565 กรมประมงจึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนากุ้งก้ามกราม (2562-2565) โดยแบ่งประเด็นยุทธศาสตร์การดำเนินงานใน 4 ด้าน
ด้านการวิจัยและพัฒนา, ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, ด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร และด้านการตลาด เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามอย่างครบวงจรโดยมีเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจน
โดยปีงบประมาณ 2564 กรมประมงได้ร่วมหารือกับกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกราม และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางในการผลักดันเพิ่มผลผลิตให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปีละ 40,000 ตัน จากปัจจุบันที่ทำผลผลิตได้เพียง 31,838 ตัน
พร้อมเตรียมขยายฐานการตลาด เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยทำ Platform ซื้อขายผลผลิตกุ้งก้ามกราม การจัดทำแบรนด์สินค้ากุ้งก้ามกรามไทย การจัดมหกรรมสินค้าเกษตรแปลงใหญ่ และการจัดทำคลัสเตอร์การส่งออกกุ้งก้ามกรามเพื่อบริโภคทั้งชนิดแช่เย็นและแช่แข็ง
โดยเน้นเปิดตลาดไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
และขณะนี้กรมประมงได้ปูแนวทางส่งเสริมและพัฒนาการเพาะ เลี้ยงเพื่อรองรับตลาดด้วยการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับการผลิตสัตว์น้ำ หรือ GAP นำร่องในโรงเพาะฟักจำนวน 200 แห่ง ในพื้นที่ ฉะเชิงเทรา กับสุพรรณบุรี และในฟาร์มเพาะเลี้ยงจำนวน 400 แห่ง ใน 4 จังหวัดแหล่งเลี้ยงกุ้งก้ามกรามที่สำคัญ ราชบุรี, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา และสุพรรณบุรี
อีกทั้งได้พัฒนาระบบความปลอดภัยทางชีวภาพของฟาร์ม ส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในบ่อดิน เฝ้าระวังโรคกุ้งก้ามกราม และปรับปรุงการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ใหม่ในทุกจังหวัด
...
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เชื่อมั่นว่าในอนาคตประเทศไทยจะสามารถพัฒนาศักยภาพในการผลิตกุ้งก้ามกรามที่มีประสิทธิภาพและเป็นฐานการผลิตกุ้งก้ามกรามเพื่อการส่งออกของโลกได้ โดยภาครัฐพร้อมที่จะสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการอย่างยั่งยืนต่อไป.
สะ-เล-เต