เหตุการณ์นักเรียนนักศึกษา ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศในสถานศึกษา แต่ผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังคงลอยนวล และกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะด้วยอำนาจหรืออิทธิพลของผู้ที่กระทำการดังกล่าว ที่มีทั้งการข่มขู่ การจ่ายเงินให้แก่ครอบครัวผู้ถูกกระทำ เพื่อปกปิด ยอมความ ซึ่งหลายกรณีผู้ถูกกระทำยอมความเพราะความอับอาย หรือฝั่งผู้กระทำผิดเองก็มีการช่วยเหลือพวกพ้อง สิ่งเหล่านี้ยังปรากฏอยู่อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ขณะเดียวกัน ตัวนักเรียนและนักศึกษาเองในฐานะผู้ถูกกระทำ หรือผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศจำนวนมาก ก็ไม่กล้าที่จะออกมาเปิดเผยตัวเพื่อขอความยุติธรรม เนื่องจากกลัวความไม่ปลอดภัยที่จะเกิดกับผู้ถูกกระทำและครอบครัว สาเหตุดังกล่าว จึงทำให้ปัญหาของผู้ถูกกระทำถูกละเลย และถูกปัดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม ปัญหาแล้วปัญหาเล่า โดยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จนทำให้โรงเรียนและสถานศึกษาถูกมองว่า เป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัยและเป็นพื้นที่หวาดกลัวสำหรับนักเรียนและนักศึกษาไปในที่สุด

แต่เมื่อปัญหาเหล่านี้ รู้ถึง ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) หรือ “ครูตั้น” ในฐานะเจ้ากระทรวงที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของเด็กนักเรียนเป็นที่ตั้ง และมองว่าปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ 1 ปีกว่า ยึดมั่นในนโยบายและคำพูดนี้มาโดยตลอดว่า

“ต้องดำเนินคดีทางกฎหมายกับครูที่กระทำผิดในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง และให้ถึงที่สุด โดยไม่มีการยอมความ ทั้งให้ไล่ออก และยึดใบประกอบวิชาชีพครู เพื่อไม่ให้ครูที่กระทำผิดเหล่านี้ กลับเข้ามาสู่วังวนในการเป็นครูได้อีก”

ดังนั้น เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 กระทรวงศึกษาธิการ โดย นายณัฏฐพล ได้เปิด “ศูนย์คุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาซึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศ กระทรวงศึกษาธิการ” หรือ ศคพ. อย่างเป็นทางการ โดยตั้งแต่เดือน มี.ค.ถึง เดือน ก.ย. ระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา หลังเปิดศูนย์ร้องเรียน ศคพ. พบว่า การร้องเรียน และมีการส่งข้อมูล เข้ามาจำนวนมาก

ทั้งนี้ ณ วันที่ 15 ก.ย. 2563 ที่ผ่านมา พบว่า มีข้อมูลคดีร้องเรียนจำนวน 16 คดี ขณะที่ผู้กระทำความผิดถูกดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ การพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จำนวน 15 ราย ให้ออกจากราชการไว้ก่อนจำนวน 16 ราย

การกระทำความผิดของครูที่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนและนักศึกษา ได้แก่ การกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนที่อยู่ในการดูแล การกระทำอนาจารเด็กนักเรียนชาย การมีพฤติกรรมในเชิงชู้สาวกับเด็กนักเรียน

การกระทำล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียน การร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ในลักษณะรุมโทรมเด็กหญิง การกระทำชำเราเด็กอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี กระทำอนาจารบุคคลอายุต่ำกว่า 15 ปี การกระทำอนาจารข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี การพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี การคุยเฟซบุ๊กกับลูกศิษย์ในลักษณะชู้สาว และการร่วมกันข่มขืนผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย

การกระทำการล่วงละเมิดทางเพศทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นนี้ ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในรั้วสถานศึกษา ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องยิ่งให้ความสำคัญ และร่วมมือกันในการป้องกันและปราบปราม อย่างจริงจัง

นอกจาก ศคพ.แล้ว กระทรวงศึกษาธิการ ยังมีสายด่วน 1579 และ 0-2007-0001 และ www.nataphol.com เป็นอีกช่องทางที่นักเรียน นักศึกษา รวมทั้ง ครู ผู้ปกครอง จะส่งเสียงร้องไปถึง “ครูตั้น” ได้เช่นกัน

สำหรับแนวทางการฟื้นฟูเยียวยาผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้น กระทรวงศึกษาธิการ ได้เตรียมการอย่างรอบด้าน โดยกำหนดให้สถานศึกษาประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้ามาช่วยดูแลเยียวยานักเรียนนักศึกษาผู้ถูกล่วงละเมิดอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที

พร้อมให้ความคุ้มครองแก่ผู้ถูกกระทำทุกคน ให้ได้รับการบำบัดฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ โดยไม่ละทิ้งให้ผู้ถูกกระทำต้องอยู่ในสภาพยากลำบากโดยลำพัง และที่สำคัญยังประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้อีกด้วย ทั้งกองทุนคุ้มครองเด็ก กองทุนยุติธรรม เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือเยียวยานักเรียนนักศึกษาที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างรวดเร็ว

หากการดำเนินการ แก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ สามารถป้องกันได้รวดเร็ว และปราบปรามผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ทันการณ์ และมีการเยียวยาฟื้นฟูผู้ถูกกระทำอย่างรวดเร็ว ได้ตามแนวทางที่ ศธ. วางแผนไว้ เชื่อได้ว่าปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในรั้วสถานศึกษาทั่วประเทศจะหมดไป โรงเรียนและสถานศึกษา ก็จะเป็นบ้านหลังที่สองที่อบอุ่น และปลอดภัยสำหรับเยาวชนของชาติได้อย่างแท้จริง