- เปิดวอร์รูมสู้ม็อบ จัดหน่วยรักษาเส้นทาง เขตพระราชฐาน
- ตรวจแถวเรียกขวัญทหาร ต้องเป็นหนึ่งเดียว ปกป้อง 3 สถาบันหลัก
- ตั้งหน่วย "นักรบไซเบอร์" รับมือสงครามโซเชียล โจมตีทหาร
การเปิดหอประชุมกิตติขจร ภายในกองบัญชาการกองทัพบก ของ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เพื่อเรียกนายทหารระดับผู้บังคับหน่วย เข้าประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกวาระพิเศษ ระดับผู้บังคับการกรม และผู้บังคับกองพัน (ผบ.นขต.ทบ.) ทั่วประเทศ จำนวน 655 นาย ก่อนเกษียณราชการอีกไม่กี่วันข้างหน้า หน้าสนใจ เพราะจังหวะสอดรับใกล้วันชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย.63 ของแนวร่วมกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม และประชาชนปลดแอก ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อ "ทวงอำนาจ คืนราษฎร" ทำให้มีการตั้งคำถามต่างๆ นานา จนหลายฝ่าย คิดไปไกลถึงกระแส "รัฐประหาร" จะหวนกลับมาหรือไม่ จนเป็นที่ขบคิดอีกครั้ง
ประกอบกับกองทัพบกเริ่มเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะกลับจาการฝึกซ้อมพร้อมรบ หน่วยเคลื่อนที่เร็ว RDF กองทัพภาคที่ 1 ที่ไปปักหลักในหลายพื้นที่กลับกรมกอง เหมือนยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟให้กลุ่มผู้ชุมนุมนำไปแชร์ในโลกโซเชียลเรียกแขก นำทัวร์ลงกองทัพได้อีก

...
รวมทั้งการประเมินของฝ่ายความมั่นคงในการรับมือกลุ่มผู้ชุมนุม ที่มีคาดการณ์ตัวเลขน่าจะอยู่ในหลักหลายหมื่น แม้จะมองว่าเป็นการซ้อมใหญ่ ก่อนถึงวันจริงเดือนตุลาคม โดยเบื้องต้นมองว่าการชุมนุมครั้งนี้จะดำเนินเพียง 3 วัน โดยจะค้างคืนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 คืน ก่อนเคลื่อนทัพเดินไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน โดยมีเป้าหมายที่ทำเนียบรัฐบาล
เพื่อยื่น 3 ข้อเรียกร้อง 1.แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 ที่เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2.ยุบสภา และ 3.ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ขึ้นมาใหม่ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในอนาคต รวมทั้งข้อแม้ที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลาออกสถานเดียว
"กองทัพ" จัดกำลังรักษาหน่วยที่ตั้ง เส้นทาง เขตพระราชฐาน
สิ่งที่กองทัพกังวลมากที่สุดคือ การมีผู้ชุมนุมหลายฝ่ายเข้าร่วม ทั้งคนเสื้อแดง คนเสื้อส้ม คณะก้าวหน้า กลุ่มพันธมิตร และคนวัยทำงานที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ พิษโควิด-19 ทำให้เกิดวิกฤติทางการเงิน ครอบครัว ซ้ำเติมกว่านั้น คือ บรรดานักเรียนขาสั้น นักศึกษาทั้งจากส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคเข้าสมทบ จนกลายเป็นม็อบ "ชังชาติ" ทีไม่ธรรมดาแล้ว

เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่มา มีการติดต่อสื่อสารทางโซเชียลมีเดีย ส่งข่าวถึงรับข่าวกันถึงตลอดเวลา เพื่อโน้มน้าว กระตุ้นให้เยาวชน คนวัยโจ๋ ทั่วประเทศออกมาร่วมกิจกรรมขอคืนประชาธิปไตย จุดมุ่งหมายเพื่อหวังเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะนอกจากคนหลายกลุ่มจะมาร่วมกัน ณ ที่นี้แล้ว ยังมีเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนออกแถลงการณ์ เชิญชวนประชาชนผู้ใช้แรงงานออกมาชุมนุมเพื่อผลักดันข้อเรียกร้องร่วมกับ นักศึกษา ตามมาสมทบด้วย
ขณะที่ความเคลื่อนไหวกองทัพบก หลังประเมินสถานการณ์ ได้มีการตั้งวอร์รูมขึ้นมาเพื่อมอนิเตอร์ จับตาดูแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุม ในทุกความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในวันที่ 19-20 ก.ย.63 ตอลด 24 ชม.จะมีวงจรปิดถ่ายทอดในทุกจุด และกองทัพได้กระจายหน่วยข่าวทหารลงพื้นที่ปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อหาข่าว รายงานเข้ามายังวอร์รูม เพื่อนำไปประเมินผล ตั้งรับ โดยมีกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยในพื้นที่ มอบให้หน่วยระดับกรม กองพัน เข้ารักษาหน่วยที่ตั้ง ในเส้นทางกองบัญชาการกองทัพบก กองทัพภาคที่ 1 และเส้นทางเดินขบนถนนราชดำเนิน พร้อมเตรียมกำลังดูแลลานพระรูปทรงม้า เขตพระราชฐาน เพื่อมิให้รุกล้ำพื้นที่หวงห้าม

...
หวั่นเฟกนิวส์ เริ่มปล่อยข่าว สร้างข่าวเท็จ โจมตีทหาร
และหลังที่มีเอกสารสารอ้างคำสั่งด่วนจากแม่ทัพภาคที่ 1 ให้จัดเตรียมกำลังพล พร้อมอุปกรณ์ หมวกนิรภัยป้องกันศีรษะ กระบองป้องกันตนเอง เสื้อเกราะลายพราง โล่ ปืนลูกซอง กระสุนยาง แก๊สน้ำตา และรถน้ำเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยรับมือกับการชุมนุม ทำให้ "กองทัพบก" ถึงกับเต้น อยู่นิ่งไม่ได้ เพราะนี้คือสงครามทางโซเชียล หรือการข่าว IO เพื่อสร้างเฟกนิวส์
กรทั่ง พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. จึงต้องออกมาชี้แจงด่วนเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึง กองทัพบกยังไม่ได้รับภารกิจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และภาพถ่ายเอกสารข่าวฉบับดังกล่าวไม่น่าใช่เอกสารข่าวทางราชการของกองทัพภาคที่ 1 เพราะไม่มีระบุลงวันที่ และผู้ลงนาม อนุมัติตามรูปแบบเอกสารข่าวทางราชการ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นเอกสารปลอม เพราะหากเป็นเอกสารสั่งการจริงจะต้องมีการลงนามโดยผู้บังคับบัญชาระดับสูง ของแม่ทัพภาคที่ 1 หรือรองแม่ทัพภาคที่ 1 หรือเสนาธิการกองทัพภาคที่ 1 แต่ในเอกสารดังกล่าวไม่มี กองทัพยืนยันว่าไม่ได้มีการสั่งการใดๆ กับกำลังพลให้เตรียมการรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย

...
ผุดไอเดียตั้ง "นักรบไซเบอร์" สู้สงครามโซเชียล
สอดรับภารกิจสุดท้ายของ "บิ๊กแดง" ก่อนเกษียณราชการ ที่มีแนวคิดจัดตั้งหน่วยทหาร "เหล่าไซเบอร์" โดยย้ำห่วงอนาคต ที่เกิดสงครามไซเบอร์ กองทัพบกจึงมีความจำเป็นต้องสร้างทหารให้เป็น "นักรบไซเบอร์" สร้าง "กองกำลังไซเบอร์" เพื่อรับมือสงครามโซเชียลมีเดีย เพราะอนาคต ไซเบอร์ ดูจะรุนแรงขึ้น

เพราะการรบในปัจจุบันไม่ใช่มีแค่ในรบในสนามรบ แต่สงครามไซเบอร์ในช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมานี้ มีความหนักหนาสาหัส สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแม้กระทั่งสามารถสร้างความโกลาหล และความเข้าใจผิดได้ มีการโน้มน้าวจิตใจ โดยการใช้ไซเบอร์เปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ เป็นเรื่องที่อันตรายมาก แล้ววันนี้โรงเรียนนายร้อย จปร. โรงเรียนนายสิบทหารบก ที่เป็นต้นน้ำ ต้นทางของกองทัพบก เราก็ได้ส่งชุดไปให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องไซเบอร์ เพราะโลกอนาคตใหม่ ไซเบอร์ เป็นเรื่องที่อันตรายมากต่อระบบความคิด การชักจูง ในสังคม
"บิ๊กแดง" ตรวจแถว เรียกขวัญ ปกป้อง 3 สถาบันหลัก ทหารต้องเป็นหนึ่งเดียว
...
ขณะที่ภารกิจ ในวันพบผู้บังคับหน่วย 655 นาย พล.อ.อภิรัชต์ ได้เปิดอกกับ ผบ.นขต.ทบ.ระดับ ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพัน ทั่วประเทศ โดยขึ้นเวทีพูดคุยกับนายทหารระดับคุมกำลังแบบเป็นกันเอง ทั้งยังฝากข้อคิด และข้อสั่งการในหลายประเด็น ทั้งหลักการทำงาน การทำหน้าที่ ผู้บังคับหน่วยที่ดีต้องมีวินัยเพียงพอที่จะดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาได้ เพราะการสั่งการอะไรตัวผู้บังคับหน่วยต้องทำได้เช่นกัน หาวิธีลดช่องว่าง ลดความเหลื่อมล้ำ และคิดนอกกรอบได้แต่ต้องไม่ผิดระเบียบ

"ส่วนตัวยึดถือ นายกฯ เป็นแบบอย่าง ตั้งแต่ท่านดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ. เวลาท่านไปไหนมาไหน จะพยายามลดภาระกำลังพลที่ต้องมารับมาส่ง การไปตรวจเยี่ยมแบบไม่เป็นทางการ จะให้เราเห็นปัญหาหลายๆเรื่อง เพียงแค่ขาดการเอาใจใส่ดูแล ธุระไม่ใช่ ดังนั้นหาก ผบ.หน่วย ลงไปคลุกคลีกับลูกน้อง พูดคุย รับฟัง นั่งกินข้าวกับลูกน้อง อาจจะได้รับรู้อะไรดีๆ และถือเป็นขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย"
ที่สำคัญการปรับย้ายนายทหารประจำปี กองทัพบกจะต้องเป็นหนึ่งเดียว เพราะเป็นเสาหลักในการปกป้อง 3 สถาบัน เป็นเสาหลักในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ทบ.จะแตกแยกไม่ได้ ในการปรับย้าย เพราะมีทั้งคนสมหวังและผิดหวัง ในการพิจารณาเราดูจากขีดความสามารถ มากกว่าอาวุโสรุ่น และไม่ว่าจะเป็น ผบ.หน่วยกำลัง หรือฝ่ายเสนาธิการ สามารถปรับหมุนได้ทุกตำแหน่ง และขอให้ทุกท่านยอมรับในการปรับย้ายครั้งนี้ ให้เชื่อมั่นว่าทุกคน ทุกหน่วย จะต้องมีโอกาสเจริญก้าวหน้าที่ทัดเทียม สลับปรับเปลี่ยนหมุนเวียนให้มีการระบายอย่างเหมาะสม
เตือนสติ ผบ.หน่วย ถือธง ต้องรักษาเกียรติ เพราะมันคือความรับผิดชอบ
ขอย้ำ ผบ.หน่วย "ผู้พัน" - "ผู้การ" รับธงคือความรับผิดชอบ ผืนธงมันหนัก เพราะมันคือความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงเรื่องของเกียรติยศศักดิ์ศรี "ธง" คือ เครื่องเตือนสติ ทุกครั้งที่รับส่งธง จะต้องนึกเสมอว่า อะไรอยู่ภายใต้ผืนธง ธงผู้พัน ธงผู้การ ต่างก็มีภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ ที่แตกต่างกัน เพราะการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่กองทัพบก ให้แก่หน่วยต้องเริ่มต้นที่ ต้นน้ำ ต้นกำเนิดทั้งทหารกองประจำการ นักศึกษาวิชาทหาร อาสาสมัคร ทหารพราน นักเรียนนายสิบ นักเรียนนายร้อย ต้นน้ำเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการปรับปรุงพัฒนา ระเบียบ หลักเกณฑ์ ให้สอดคล้องยุคสมัย บริบททัศนคติของคนรุ่นใหม่ รุ่นปัจจุบัน การทำงานต้องมีวินัย พอเพียง และในวันที่ 1 ต.ค. ก็ต้องส่งมอบธงผืนใหญ่กองทัพบก ให้กับ ผู้บัญชาการทหารบกท่านใหม่ ที่จะมาสานงานต่อ

กลับถิ่นเก่า อำลา นักรบ-นักบิน เปิดป้ายค่าย ร.112 กรมทหารราบเบายานเกราะ Stryker
การเดินทางไปเหยียบถิ่นกำเนิดการเป็นนักรบ นักบิน ของ "บิ๊กแดง" ที่ทุกครั้งเมื่อได้สวมชุดนักบินจะมีความภาคภูมิใจ โดยมี "บิดา" พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.สส. เป็นแบบอย่าง และในครั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ได้ตรวจเยี่ยมอำลาหน่วยกำเนิด ที่ศูนย์การบินทหารบก ค่ายสมเด็จพระศรีนครินทรา จ.ลพบุรี เพื่อร่วมพิธีอำลาชีวิตราชการนักบินทหารบก ชั้นนายพล ประจำปี 2563 ร่วมกับนายทหารชั้นยศนายพล ที่เป็นเหล่านักบินทหารบก

โดย ค่ายสมเด็จพระศรีนครินทรา ได้จัดทหารกองเกียรติยศ และสวนสนามทางอากาศยาน เพื่อเกียรติ จน "บิ๊กแดง" ถึงกับเอ่ย มีความภาคภูมิใจ ที่เคยเป็นนักบินกองทัพบก
ก่อนจะมาร่วมพิธีเปิดป้ายค่ายพนัสบดีศรีอุทัย ของ กรมทหารราบที่ 112 จ. ชลบุรี ที่ปัจจุบันได้สร้างโรงเก็บรถเกราะ และสถานที่ฝึก ด้วยการผลักดัน ให้ พล.ร.11 จากกองพลสนับสนุนการรบ มาเป็น กองพลรบ ทดแทน พล.1 รอ. ที่มาขึ้นตรงกับ กองทัพภาค1 หลังมีการปรับโอนหน่วยใหม่ และบรรจุโครงสร้างอัตรากำลัง และยุทโธปกรณ์ใหม่ ให้เป็น กองพลทหารราบเบายานเกราะ และเป็น กองพล Stryker ที่ซื้อผ่านโครงการความช่วยเหลือทางการทหาร FMS กับ ทบ.สหรัฐฯ นอกจากนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ยังเคยเป็น ผบ.พล.ร. 11 ในการได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นพลตรี ครั้งแรก
เปิด ไทม์ไลน์ "บิ๊กแดง" เดินสายอำลาหน่วยหลัง 19 ก.ย. ก่อนปิดฉาก ทบ.
ขณะเดียวกัน "กองทัพบก" เตรียมจัดพิธีเทิดเกียรติ อำลาทหารเกษียณตามประเพณี โดยหน่วยทหารทั่วประเทศได้จัดไทม์ไลน์ เทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหารให้กับกำลังพลที่ครบกำหนดเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2563 เพื่อเชิดชูเกียรติข้าราชการทหารในทุกระดับที่ปฏิบัติงาน ด้วยความทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจ ตามภาระหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกองทัพบก ประเทศชาติ และประชาชนมาตลอดระยะเวลารับราชการ
โดยปีนี้มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงเหล่าทหารบกเกษียณอายุราชการ ทั้ง พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุชิต อินทรทัต จเรทั่วไป พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.จักรชัย โมกขะสมิต ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก เป็นต้น

โดยเริ่มจากพิธีเทิดเกียรติของเหล่าสายวิทยาจะมีการไล่เรียงตามห้วงเวลา ไฮไลต์อยู่ที่วันที่ 24 ก.ย. ซึ่งจะเป็นการอำลาของนายทหาร เหล่าทหารราบ ณ ศูนย์การทหารราบ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มี "บิ๊กทหาร" หลายนายกำเนิดจากเหล่าราบ และจะเป็นการมาเยี่ยมหน่วยครั้งสุดท้ายกอนเกษียณราชการ
สำหรับการจัดพิธีเทิดเกียรติ อำลาทหารเกษียณ จะจัดขึ้นที่ โรงเรียนนายร้อย จปร. แต่ปีนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ต้องการเปลี่ยนสถานที่มายังกองบัญชาการกองทัพบก เพื่อรำลึกสมัยเรียน ณ ที่แห่งนี้ นอกจากจะมีการนำยานเกราะล้อยางสไตรเกอร์มาจัดแสดงแล้ว เพื่อเป็นเกียรติ ยังมีการจัดตั้งนิทรรศการผลงานของ พล.อ.อภิรัชต์ ในช่วง 2 ปี ที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.รวมถึงผลงานของผู้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ที่เกษียณด้วย เพราะกองทัพบกเชื่อมั่นว่าผู้ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว จะยังคงเป็นบุคคลที่มีคุณค่า สามารถนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการรับราชการไปสร้างประโยชน์ต่อสังคมและบ้านเมืองโดยรวม รวมทั้งการดำรงตนเป็นพลเมืองดีของสังคมต่อไป

เสียงฮึ่มจาก "ลุงตู่" ดูแลลูกหลานให้ปลอดภัย อย่าให้ตกเป็นเครื่องไม้เครื่องมือของใคร
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แสดงความเห็นในฐานะรัฐบาลถึงม็อบ 19 ก.ย.ว่า พร้อมที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือลดเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ในการชุมนุม ฝ่ายความมั่นคง พลเรือน ตำรวจ และทหาร รวมทั้งการป้องกันมือที่ 3 หรือมือที่ 4 และยืนยันในเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุขที่สุด และรัฐบาลมีเสถียรภาพในการทำงาน ต้องขอร้องทุกฝ่ายทั้งแกนนำผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ช่วยกันสังเกตสอดส่องเป็นหูเป็นตา และดูแลลูกหลานของเราให้ปลอดภัย อย่าให้ตกเป็นเครื่องไม้เครื่องมือของใคร
"ถ้าเป็นการชุมนุมบริสุทธิ์ผมไม่เคยมีปัญหากับใคร ส่วนบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ก็ต้องไปสืบหากันต่อไปหลังจากนี้ ซึ่งพอจะมีข้อมูลอยู่บ้าง ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการดูแลเจ้าหน้าที่ ดูแลเด็ก และลูกหลานของเรา และทุกคนก็ต้องดูแลตัวเองด้วย โดยเฉพาะมาตรการต่างๆ ทั้งการตรวจสอบเรื่องอาวุธ และการแพร่ระบาดต่างๆ ก็ต้องมีมาตรการที่เหมาะสมในการดูแล เพราะลูกหลานของท่านก็เหมือนลูกหลานของเรา"

วันนี้มีหลายอย่างที่มันแพร่อยู่ตามสื่อโซเชียลต่างๆ ซึ่งทุกคนก็ต้องเช็คก่อนแชร์ก่อนส่งต่อไปที่อื่น หรือไปขยายความ ซึ่งบางทีก็มีคนไม่หวังดีไปใช้ตรงนั้นในการปลุกระดมพล ปลุกปั่นขึ้นมา ถ้าบ้านเมืองไม่สงบแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ตัวผมเองไม่ห่วงอยู่แล้วว่าจะอยู่หรือจะไป แต่เป็นห่วงว่ารัฐบาลจะอยู่ตรงไหน หลายๆ อย่างที่เป็นกลไก ที่จะไปแก้ปัญหาไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญอะไรก็แล้วแต่ใครจะทำ ก็ไปดูตรงโน้น
ดังนั้น อย่ากดดันในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมคิดว่าสังคมประชาชนส่วนใหญ่ทราบดี จึงขอแสดงความห่วงกังวล เพราะท่านก็รักลูกของท่าน ผมก็รักลูกของผมและผมจำเป็น ต้องรักลูกของท่านด้วย เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นคือสิ่งที่ต้องดูแล และขอให้ทุกคนช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
"บิ๊กป้อม" รู้แล้วขนม็อบจากไหน รับมือได้ทั้งอาวุธสงคราม
ส่วน "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลงานความมั่นคง ชี้การชุมนุม 19-20 ก.ย. ทุกคนต้องทำตามกฎหมาย จะชุมนุมที่ไหน จะสนามหลวง ต้องขออนุญาต อันไหนที่อยู่ในกรอบของกฎหมายก็ต้องขออนุญาตก่อน และเชื่อว่าการดูแลทำเนียบรัฐบาลเรียบร้อย เพราะมีเจ้าหน้าที่ดูแล และมีขั้นตอนการดูแลตามลำดับและตามกฎหมาย สิ่งสำคัญไม่ให้มีการปะทะกัน และผมรู้แล้ว ว่าจังหวัดไหนจะมาได้ ขอให้เชื่อมั่นรัฐบาล และฝ่ายความมั่นคงรับมือได้แน่

พร้อมส่งตำรวจ จะเข้าประจำการในทำเนียบฯ 3 กองร้อย ได้ติดตั้งกล้องซีซีทีวีเพิ่มตามจุดสูงข่มทุกตึก นำรถเครื่องปั่นไฟสำรอง 3 คันประจำการกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมมอบหมายให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง นอกจากนี้ได้จัดการทำงานของกลุ่มศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ใหม่ มอนิเตอร์สถานการณ์การชุมนุม 24 ชั่วโมง
ตำรวจจัดกำลัง 100 กองร้อย งัดแผนกรกฎ 52 ดูแล
ข้ามไปยังฝ่ายตำรวจ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้ทุก บช.เตรียมกำลังพร้อมสนับสนุน บช.น.เบื้องต้นสั่งจัดเตรียมไว้ 100 กองร้อย ให้สอดคล้องกับผู้ชุมนุมวันที่ 19 ก.ย. โดยจัดตั้งจุดพักคอยของเจ้าหน้าที่บริเวณจุดต่างๆที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อเข้าระงับเหตุการณ์ได้ทันที วางแผนแบ่งกำลังดูแลพื้นที่ภายใน มธ. ท่าพระจันทร์จำนวน 3 กองร้อย บริเวณรอบสนาม-หลวง 6 กองร้อย และจัดกำลัง 3 กองร้อย ดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 3 กองร้อย และกลุ่มผู้ชุมนุมที่จะเคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาลอีก 3 กองร้อย ทั้งนี้วางกำลังตามเส้นทางต่างๆ หากใช้กำลังสนับสนุนจะขอกำลังจาก บช.ภ.1 บช.ภ.2 และ บช.ภ.7 ที่อยู่ใกล้เคียงก่อน ส่วน บช.ตชด.และ บก.อคฝ.ให้เตรียมพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ทันที หากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น

พร้อมมอบให้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. จัดกำลังตำรวจ 3 พื้นที่ชุมนุม มธ.ท่าพระจันทร์ สนามหลวง และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และย้ำกำชับห้ามใช้กำลังให้ดูแลผู้ชุมนุมเหมือนลูกเหมือนหลาน เจ้าหน้าที่จะใช้แผนกรกฎ 52 ดูแล ส่วนการเคลื่อนขบวนไปทำเนียบฯ วันที่ 20 ก.ย.ตำรวจจะดูแลการจราจรและข้อกำหนดของ พ.ร.บ.การชุมนุมเว้นระยะห่างจากทำเนียบฯ 50 เมตร หากพบว่าฝ่าฝืนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย
นับถอยหลังจากนี้ไม่กี่ชั่วโมง เราอาจจะได้เห็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศไทย ที่อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยม็อบนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่รวมตัวเรียกเป็นกลุ่ม กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม และประชาชนปลดแอก ที่จะลุกฮือ "ทวงอำนาจ คืนราษฎร" จากรัฐบาลประยุทธ์ ที่สืบทอดมาอย่างยาวนานกว่า 6 ปี เพื่อคืนสู่ประชาชนเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง

ผู้เขียน : คชสีห์ 88
กราฟิก : Taechita Vijitgrittapong