เข้าทางตรง ยุติธรรมไทย ต้องบอกว่าคดีอื้อฉาวที่สร้างความเสียหายต่อวงการยุติธรรมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนใกล้ที่จะเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว เมื่อคณะกรรมการ 3 ชุด ในส่วนของอัยการ ตำรวจและชุดพิเศษที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้แต่งตั้ง
ที่เป็นเนื้อเป็นหนังก็คือชุดที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานนั่นแหละ พอจะคาดหวังได้ว่าจะตีแผ่ความจริงให้ได้เห็นกันกระจ่างตา
สั้นๆง่ายๆ ที่ “คุณวิชา”...ระบุก็คือทำกันเป็นขบวนการไม่ใช่แค่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น เพราะมีทั้งตำรวจ ทหาร นักการเมือง เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เอกสาร 10 หน้า ได้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้ส่งให้นายกฯเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ระบุชื่อจริงแต่ใช้อักษรย่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
ไล่ไปพบว่ามีผู้กระทำผิด 10 คนขึ้นไป แยกเป็น 8 กลุ่ม
1.พนักงานสอบสวน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสำนวน
2.พนักงาน อัยการ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3.ผู้บังคับบัญชา ซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่
4. สนช. ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
5. ทนายความซึ่งกระทำผิดกฎหมาย
6.พยาน ซึ่งกระทำผิดกฎหมาย
7.พยาน ซึ่งให้การเป็นเท็จ
8.ตัวการผู้ใช้และผู้สนับสนุนในการกระทำผิดกฎหมาย
ตัวละครที่เข้ามามีส่วนร่วมปฏิบัติ “ป่าคดี” นั้นหากผู้ติดตามข่าวมาอย่างต่อเนื่องคงพอจะรู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง
หลังจากเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงจนสามารถประมวลความเป็นไปในคดีนี้ล้วนเชื่อมโยงจนมองเห็นภาพได้ว่าเกี่ยวพันกันหมด
แม้แต่ในจุดสำคัญซึ่งเป็นปมที่ทำให้คดีดำเนินการไปจนถึงขั้นสุดท้ายคือการสั่งไม่ฟ้องและยังเป็นรอยต่อที่ทำให้เกิดผลสำเร็จ
นั่นคือห้องทำงานซึ่งเป็นสำนักงานของตำรวจแห่งชาติ
...
เพื่อปฏิบัติการแปรความจริงให้เป็นเท็จในเรื่องความเร็วรถใครเป็นใครกันบ้างก็สามารถที่จะสืบรู้ได้ว่าใครเป็นใครอยู่ในนั้นบ้าง
แม้บางคนจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องในการให้ปากคำแต่ก็ความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้นเพราะมีภาพและเสียงปรากฏ
กลายเป็น “ตลกร้าย” ที่ไม่มีใครขำด้วย!
หรือแม้แต่วันที่ปรากฏคือระบุว่าวันที่ 26 ก.พ.2559 แต่ความจริงแล้วคือวันที่ 29 ก.พ. ทำให้พูดง่ายๆได้ว่า “ดิ้นไม่หลุด”
อีกทั้งยังมีอัยการอาวุโสคนหนึ่งร่วมอยู่ในห้องนั้นด้วยเพื่อวางแผนเปลี่ยนความเร็วรถจากที่ผิดเป็นไม่ผิด
มิน่าล่ะ...
ขั้นตอนต่อไปในการดำเนินการจะส่งผลการสอบสวนทั้งหมดให้ ป.ป.ท. รับไม้ต่อในการดำเนินคดีกับบุคคลที่ร่วมกระทำผิด
ผมว่าจากนี้ไปจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความยุติธรรมอีกครั้งหนึ่งหลังถูกย่ำยีมาก่อนหน้านี้ว่าจะยังธำรงค์เอาไว้ได้หรือไม่
เพราะจากรายงานข้อเท็จจริงที่ออกมานั้นได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของบุคคลที่เกี่ยวข้องเอาไว้อย่างเป็นระบบและชัดเจน
อันจะย้ำเตือนถึงความจริงใจของผู้บริหารประเทศในยุคสมัยนี้
ที่ว่าอย่างนี้...เพราะหันซ้ายหันขวาก็คนกันเองทั้งนั้นหาใช่ใครอื่นไม่!
“สายล่อฟ้า”