"อนุทิน" ลั่นใช้งบฯสร้างความเข้มแข็ง ระบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ประชาชนมากที่สุด สั่งเพิ่มเงิน อสม. 500 บาท/เดือนให้ รพ.สต. แห่งละ 2 แสนบาท บริการประชาชน

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.63 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงการบริหารงบประมาณ 45,000 ล้านบาท ในส่วนที่จะต้องนำไปสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุขไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ร่วมประชุมหารือกับทุกหน่วยงานทุกองค์กรที่ทำงานด้านสาธารณสุขและการแพทย์ เพื่อให้การใช้งบประมาณจำนวนนี้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด และจะมีกระบวนการตรวจสอบการใช้งบประมาณทุกรายการที่มีการใช้จ่ายว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ ทุกคนตระหนักดีว่าเงินที่จะนำไปใช้นี้เป็นเงินกู้ที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบ ดังนั้นการจะใช้เงินทุกบาทนั้นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมนำเสนอมากที่สุด เพื่อให้การใช้เงินเป็นไปตามความต้องการของประชาชน และประชาชนเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

"2 โครงการแรกที่ผมได้ให้นโยบายแก่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คือ 1.เพิ่มค่าตอบแทนการทำงานให้แก่ อสม. ท่านละ 500 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่ มี.ค.63-ก.ย.64 เพื่อเป็นกำลังใจและช่วยเหลือค่าเดินทาง ค่าปฏิบัติงานให้ อสม.ทุกคน ซึ่งเป็นจิตอาสาอยู่แล้ว สามารถทำงานป้องกันและควบคุมโรคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.เพิ่มศักยภาพขีดความสามารถของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. ด้วยการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ สำหรับให้บริการประชาชน เพื่อที่ประชาชนจะใช้บริการ รพ.สต.ได้มากขึ้น และลดความแออัดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ลดความเสี่ยงทั้งการแพร่เชื่อ และการติดเชื้อโรคโควิด-19 ได้ เพราะโรงพยาบาลเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ซึ่งจะให้ รพ.สต.ทุกแห่ง โดย สสจ. หมออนามัย และ อสม. ร่วมกันพิจารณาว่า รพ.สต.แต่ละแห่งมีความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์อะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่มากที่สุด เป็นการกำหนดความต้องการของพื้นที่เอง ซึ่งจะให้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท ต่อ 1 รพ.สต. ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้บริการของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของ รพ.สต.แต่ละแห่ง" นายอนุทิน กล่าว

...

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า 3-4 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดีกว่าที่มีการประเมินสถานการณ์กันไว้ นอกเหนือจากความร่วมมือของประชาชนส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพราะการทำงานแบบเอาใจใส่และติดตามผู้มีความเสี่ยงให้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนโรค และกักตัวอย่างเข้มแข็งของ อสม. และหมออนามัย ที่ประจำอยู่ที่ รพ.สต. ซึ่งการควบคุมได้ดีในระดับหมู่บ้าน ตำบล ส่งผลให้ลดภาระของโรงพยาบาลและลดจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยหนักได้มาก ดังนั้นการสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขในชุมชน จึงเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องและทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด-19 และโรคระบาดอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับการใช้งบประมาณเพื่อการพัฒนาศักยภาพทางด้านการแพทย์ ยา และวัคซีน เพื่อให้บริการรักษาผู้ป่วยนั้น ระบบการแพทย์ของประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราทำได้ดีมาก จากผู้ป่วยมากกว่า 1,000 คน ลดลงเหลือไม่เกิน 100 คน ภายในเวลา 2 เดือน และยังตรึงสถานการณ์ไว้ได้ แต่จะต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา ประมาทไม่ได้ การจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ ในจำนวนที่เพียงพอต่อความต้องการของแพทย์เป็นเรื่องที่จำเป็น การสร้างความมั่นคงทางเวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย และยา เป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ สำคัญที่สุด คือ การพัฒนาวัคซีน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองของกระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการกันอยู่

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การใช้งบประมาณจำนวนนี้จะต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมใหม่ หรือ New Normal ของการใช้บริการของสถานพยาบาลของประชาชนด้วย จะต้องมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาและสร้างบริการใหม่ๆ ให้ประชาชนเข้าถึงการแพทย์และเข้าถึงยาได้โดยไม่ต้องมาโรงพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อย หรือเพียงแค่ติดตามอาการ ซึ่งจะมีการประสานงานกับกระทรวงดีอีร่วมกันพัฒนางานบริการประชาชน มีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ การติดเชื้อที่โรงพยาบาลให้ได้มากที่สุด

"กระทรวงสาธารณสุขจะรายงานการพิจารณางบประมาณและการใช้เงินจำนวนนี้ให้ประชาชนทราบพร้อมให้ทั้งรายงานความคืบหน้าการทำงาน และประโยชน์ที่ประชาชนได้รับให้ได้ทราบเป็นระยะๆ โดยจะให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ร่วมตรวจสอบและร่วมประเมินผลการทำงานอีกทางหนึ่งด้วย ขอให้มั่นใจว่าเงินกู้ 45,000 ล้านบาท จะถูกใช้เพื่อสร้างความเข้มแข็งของการแพทย์ และระบบสาธารณสุขประเทศไทยให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยทุกคน" นายอนุทิน กล่าว.