สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับการโพสต์ขายสินค้าประเภท อาหารเสริม หรือ ยา โดยอ้างสรรพคุณเกินจริง ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่ามีโรคระบาดที่เกิดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งแพร่เชื้อได้ง่ายและรวดเร็วมาก ทำให้มีผู้ที่ติดเชื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 2,000,000 คน ประชาชนในประเทศไทยต่างตื่นตัวแสวงหาอาหาร หรือยา หรือแม้แต่สิ่งของยึดเหนี่ยวทางใจ เพื่อป้องกันหรือรักษาอาการจากการติดเชื้อไวรัสตัวนี้

เมื่อมีวิกฤติเกิดขึ้น ย่อมทำให้ประชาชนเดือดร้อน ทั้งประเทศ เศรษฐกิจเสียหาย แต่ยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่ฉวยโอกาสจากวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้น โดยไม่สนใจความทุกข์ยากลำบากของคนอื่น สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นด้วยการจำหน่ายอาหารเสริม หรือยา โดยแอบอ้างสรรพคุณเกินจริงว่า สามารถป้องกันหรือรักษาอาการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน บางรายอ้างว่ามีผลการวิจัยรับรอง แต่กลับไม่มีข้อมูลทางวิชาการของสถาบันที่ได้มาตรฐานอ้างอิงอย่างชัดเจน ซึ่งการโฆษณาจำหน่าย อาหาร อาหารเสริม หรือยา โดยใช้คำบรรยายที่เกินจริงนั้น มีความผิดตามกฎหมาย

การใช้ข้อความหรือถ้อยคำอันเป็นเท็จหรือเกินจริง มีความผิดทางอาญาตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22 การโฆษณาจะต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค หรือใช้ข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม ทั้งนี้ไม่ว่าข้อความดังกล่าวนั้นจะเป็นข้อความที่เกี่ยวกับแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือลักษณะของสินค้าหรือบริการ ตลอดจนการส่งมอบ การจัดหา หรือการใช้สินค้าหรือบริการ ข้อความดังต่อไปนี้ถือว่าเป็นข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือเป็นข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม

...

(1) ข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง
(2) ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะกระทำโดยใช้หรืออ้างอิงรายงานทางวิชาการ สถิติ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันไม่เป็นความจริงหรือเกินความจริงหรือไม่ก็ตาม
(3) ข้อความที่เป็นการสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อมให้มีการกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรม หรือนำไปสู่ความเสื่อมเสียในวัฒนธรรมของชาติ
(4) ข้อความที่จะทำให้เกิดความแตกแยกหรือเสื่อมเสียความสามัคคีในหมู่ประชาชน
(5) ข้อความอย่างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงข้อความที่ใช้ในการโฆษณาที่บุคคลทั่วไปสามารถรู้ได้ว่าเป็นข้อความที่ไม่อาจเป็นความจริงได้โดยแน่แท้ ไม่เป็นข้อความที่ต้องห้ามในการโฆษณาตาม (1)

มาตรา 47 ผู้ใดโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งกระทำผิดซ้ำอีก ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 271 ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ การนำข้อความอันเป็นเท็จโพสต์ลงในสื่อสังคมออนไลน์เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดอันเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ตามมาตรา 14 นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา

สุดท้ายนี้ ในขณะที่ประชาชนทุกคนกำลังร่วมแรงร่วมใจกัน และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนกำลังทำงานอย่างหนัก โดยเฉพาะแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และทีมอาสากู้ภัย กำลังเสียสละแรงกาย แรงใจ เวลาส่วนตัว เพื่อให้ชาติพ้นวิกฤติโดยเร็วที่สุด ดังนั้น ไม่ควรแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองในยามที่ชาติบ้านเมืองกำลังวิกฤติ และต้องการความสมัครสมานสามัคคี รวมถึงความร่วมมือจากประชาชนทุกคนครับ

สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ

Facebook: ทนายเจมส์ LK

Instagram: james.lk