สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้ มีประเด็นข้อกฎหมายที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการแปลงหนี้เงินสินสอดมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้น จะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากไม่มีการส่งมอบเงินกันในวันที่ทำสัญญากู้ยืมเงิน 

มีคดีตัวอย่าง จากกรณีชายหญิงคู่หนึ่ง เป็นคู่รักกัน และมีการหมั้นกันแล้ว แต่ฝ่ายชายไม่มีเงินค่าสินสอดจึงตกลงทำสัญญากู้ยืมเงินให้แก่ฝ่ายหญิง ทั้งคู่อยู่กินกันได้ 3 เดือนก็เลิกรากัน โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน ฝ่ายหญิงจึงนำสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องฝ่ายชาย เพื่อบังคับให้ฝ่ายชายชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน 

ในทางพิจารณาของศาล เห็นว่า การที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมิได้จดทะเบียนสมรสนั้น จะถือว่าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะฝ่ายชายก็เพิกเฉยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อฝ่ายหญิงไม่ได้ผิดสัญญา ฝ่ายชายย่อมเรียกสินสอดคืนไม่ได้ สัญญากู้จึงมีมูลหนี้ เนื่องมาจากเงินสินสอดอันเป็นมูลหนี้ชอบด้วยกฎหมาย 

เมื่อบิดามารดาฝ่ายหญิงตกลงยกบุตรสาวให้ฝ่ายชายแล้ว และฝ่ายชายยินยอมทำสัญญากู้ยืมเงินให้แก่ฝ่ายหญิง เพราะมูลหนี้สินสอดแล้ว ฝ่ายชายย่อมต้องผูกพันให้รับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่แปลงหนี้มาจากเงินค่าสินสอด

อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 878/2518

อันสินสอดนั้นตามกฎหมายเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรสและเมื่อมีข้อตกลงจะให้สินสอดแก่กันแล้ว การให้สินสอดภายหลังการสมรสย่อมทำได้เพราะไม่มีอะไรห้ามซึ่งต่างกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาทำสัญญาหมั้นคือก่อนสมรส

บิดามารดาโจทก์จัดให้โจทก์และ ว. ทำพิธีแต่งงานกัน และโจทก์เต็มใจยอมสมรส มารดาโจทก์ได้เตือนให้โจทก์และ ว. ไปจดทะเบียนสมรส แต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนโดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้ ครั้นอยู่ด้วยกัน 3 เดือนก็มีเหตุต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียน ดังนี้จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวย่อมไม่ได้ ชายเรียกสินสอดคืนไม่ได้

...

จำเลยและ ว. บุตรชายตกลงหมั้นโจทก์และตกลงจะให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นสินสอดแก่บิดามารดาโจทก์ในวันสมรส ถึงกำหนดจำเลยขอผัดให้เงินสินสอดภายหลัง มารดาโจทก์ยินยอมให้โจทก์แต่งงานกับ ว. เพื่อมิให้เสียพิธี แต่มิได้มีการจดทะเบียนสมรสกันหลังจากสมรสแล้วจำเลยขอทำสัญญากู้ให้มารดาโจทก์แทนเงินสินสอดที่ตกลงจะให้ มารดาโจทก์ต้องการเอาเงินนั้นให้โจทก์ จึงให้โจทก์ลงชื่อเป็นผู้ให้กู้ในสัญญากู้ 

ดังนี้ แม้โจทก์กับ ว. จะมิได้จดทะเบียนสมรสกันแต่เมื่อการที่มิได้จดทะเบียนสมรสนั้น จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้แล้ว ชายย่อมเรียกสินสอดคืนไม่ได้ สัญญากู้จึงมีมูลหนี้ เนื่องมาจากเงินสินสอดอันเป็นมูลหนี้ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อบิดามารดาโจทก์ตกลงยกให้โจทก์ และจำเลยยินยอมทำสัญญากับโจทก์ เพราะมูลหนี้นี้แล้ว จำเลยย่อมต้องถูกผูกพันให้รับผิดตามสัญญากู้ที่แปลงหนี้มานี้

ข้อสังเกตเพิ่มเติม หากคดีนี้ ไม่มีการหมั้น หรือฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โดยไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส หรือฝ่ายหญิงมีผู้อื่น เป็นต้น กรณีเป็นเหตุให้ฝ่ายชายบอกเลิกสัญญาหมั้นได้ สัญญากู้ยืมเงินที่แปลงหนี้มาจากค่าสินสอด ย่อมไม่ผูกพันฝ่ายชายครับ 

สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ

Facebook: ทนายเจมส์ LK
Instagram: james.lk