สมเด็จพระสังฆราช ประทานเงินจำนวน 2 ล้านบาทเพื่อนำไปซื้อหน้ากากอนามัย แจกพระสงฆ์ โดยเฉพาะวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว อันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของ ไวรัสโควิด-19 ที่เข้าสู่ช่วงอันตราย ขณะที่ โรงพยาบาลเอกชน ทำหนังสือถึงรัฐบาลให้ช่วยหาหน้ากากอนามัยให้หน่อยเพราะ โรงพยาบาลก็ขาดแคลน หน้ากากอนามัยเหมือนกัน เป็นไปได้อย่างไร
เวลาเดียวกันภาครัฐพยายามออกมาเบี่ยงประเด็นหน้ากากขาดแคลนโดยการเอาหน้ากากไปแจกที่ กระทรวงสาธารณสุขบ้าง อ้างว่า ถ้าไม่มีอาการก็ไม่ต้องใส่หน้ากากบ้าง ถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานคงไม่มีใครฟังว่าภาครัฐจะออกมาแก้เก้ออย่างไร อะไรที่ป้องกันได้ก็ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน ไม่ใช่กลัวตายเพราะไวรัสแต่เพราะกลัวอดตายถ้าจะถูกกักตัวอยู่ที่บ้านหลายๆวัน
ที่ญี่ปุ่น ที่ฮ่องกง หลังจากที่มีการยกระดับของไวรัสขั้นสูงสุด มีการ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ในบางพื้นที่ เช่น ที่จังหวัด ฮอกไกโด นั่นหมายถึง ชาวบ้านจะต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน อาหารการกินต้องเตรียมไว้เป็นเดือนจนกว่าจะมีการประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน ทำให้ชาวบ้านแห่ออกมาซื้อสินค้ากันใหญ่ เกิดภาวะของใช้อุปโภคบริโภคขาดแคลนอีก ถึงขนาด กระดาษทิชชู หรือกระดาษชำระในห้องน้ำยังถูกขโมย ชักจะไปกันใหญ่
บ้านเราถูกตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่มีมาตรการยกระดับการเฝ้าระวังที่เข้มข้นเหมือนประเทศอื่น ทั้งยังมีทางเข้าออกหลายทางก็เลยเป็นที่พักพิงของ คนที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ได้หลบภัยจนกว่าสถานการณ์จะเป็นปกติ กลายเป็นความเสี่ยงอีกรูปแบบของคนไทยกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 เที่ยวนี้
ปัญหาที่ยังคิดกันไม่ตกคือจะทำอย่างไรกับ คนไทยที่ไปพำนักอาศัยในต่างประเทศ และต้องการที่จะกลับประเทศไทย โดยเฉพาะจากประเทศกลุ่มเสี่ยง รัฐบาลจะบอกว่าอยากจะกลับก็กลับเพราะไม่ได้มีการห้ามสายการบินในประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้าประเทศ ยกเว้นจากประเทศจีน ที่มีการยกเลิกเที่ยวบินไปแล้ว
...
ล่าสุดมีคนไทยไปทำงานอยู่ที่ เกาหลีใต้ ทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายต้องการที่จะเดินทางกลับประเทศไทยมาลงชื่อเอาไว้เป็นหลักพันคน ภาครัฐปฏิเสธที่จะส่งเครื่องบินไปรับ เพราะเป็นคนละกรณีกับ คนไทยในอู่ฮั่น ซึ่งไม่มีเที่ยวบินกลับประเทศ เป็นภาระที่รัฐบาลจะต้องแบกไว้อีกระลอกเพราะคงไม่ใช่มีแค่ที่เกาหลีใต้ แรงงานไทยใน ตะวันออกกลาง ก็อีกหลายหมื่นคน เตรียมรับมือให้ดี
ก็มาถึงไวรัสการเมือง ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจดิ่งเหวแน่นอน ธนาคารโลกประเมินเศรษฐกิจโลกปีนี้จะโตไม่ถึงร้อยละ 2.4 สหรัฐฯโตประมาณร้อยละ 1 กว่าๆ จีนโตร้อยละ 4 กว่าๆ ญี่ปุ่นโตไม่ถึงร้อยละ 1 ยุโรปไม่ถึงร้อยละ 2 การเมืองก็ยุ่ง เศรษฐกิจก็แย่ จะแก้ปัญหาโดยวิธีเอาสีข้างเข้าถู แก้ผ้าเอาหน้ารอด ไปวันๆ
จะไปได้กี่น้ำ.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th