สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นปัญหาที่หลายคนสงสัยครับ จากกรณีที่มีเจ้าหนี้รายหนึ่ง รับเงินจากลูกหนี้ เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการให้กู้ยืมเงิน อ้างว่า เงินที่ลูกหนี้ให้ดังกล่าวนั้น เป็นเงินที่ลูกหนี้เสนอให้เอง ไม่ใช่ดอกเบี้ย แต่เมื่อนำต้นเงินมาคำนวณหาอัตราดอกเบี้ยต่อเดือนแล้ว ปรากฏว่าเงินที่เจ้าหนี้ได้รับไปจากลูกหนี้ในแต่ละเดือนนั้น เท่ากับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน หรืออัตราร้อยละ 60 ต่อปี สูงเกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าหนี้มีสิทธิ์เรียกร้องจากลูกหนี้ได้ โดยเจ้าหนี้มีสิทธิ์เรียกร้องดอกเบี้ยจากลูกหนี้ได้ร้อยละ 15 ต่อปีหรือร้อยละ 1.25 ต่อเดือนเท่านั้น

จากประเด็นดังกล่าวนี้ ถ้าลูกหนี้ส่งมอบสิ่งของอย่างอื่น นอกเหนือจากดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

เดิมมีกฎหมายควบคุมในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยอยู่ คือ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2575 มาตรา 3 ประกอบ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 แต่เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวอาจจะล้าหลังทำให้เกิดช่องว่างสำหรับเจ้าหนี้โหด เจ้าหนี้บางรายมักจะอ้างว่า สิ่งของ หรือเงิน ที่ลูกหนี้ส่งมอบให้นั้น เกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย หรือลูกหนี้เสนอให้เอง รวมไปถึงหลีกเลี่ยงภาษาที่ใช้สำหรับเรียกรับผลประโยชน์จากลูกหนี้ มักจะไม่เรียกดอกเบี้ยตรงๆ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหนี้ยากขึ้น

...

ต่อมามีการแก้ไขกฎหมายใหม่ เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 ซึ่งทำให้ช่องว่างในการที่จะเอาเปรียบลูกหนี้ลดลง ดังนั้น เมื่อเจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้ หรือยอมรับประโยชน์อย่างอื่นนอกเหนือจากดอกเบี้ย จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้น มากเกินส่วนอันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงิน เจ้าหนี้จะมีความผิดตามกฎหมายมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ตามพระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560

          มาตรา 4 บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทําการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอําพราง การให้กู้ยืมเงิน โดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือ ปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

          (1) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้

          (2) กําหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจํานวนเงินกู้หรือเรื่องอื่นๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืม หรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนด หรือ

          (3) กําหนดจะเอาหรือรับเอาซึ่งประโยชน์อย่างอื่นนอกจากดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือสิ่งของ หรือโดยวิธีการใดๆ จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากเกินส่วนอันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงิน

สุดท้ายนี้ หากเจ้าหนี้จะปล่อยเงินกู้ ควรยึดหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง พิจารณาคุณสมบัติและศักยภาพของลูกหนี้ รวมไปถึงเรียกหลักประกันการชำระหนี้จากลูกหนี้ หรือขอให้มีบุคคลค้ำประกัน เผื่อในอนาคตลูกหนี้ผิดนัดผิดสัญญา ท่านก็จะสามารถติดตามเอาเงินจากลูกหนี้ หรือบังคับหลักประกันได้ ป้องกันไม่ให้ท่านต้องสูญเสียเงิน และหากท่านปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ก็ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกุมขมับกับลูกหนี้หัวหมอครับ