สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่น่าสนใจหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของฆาตกรต่อเนื่อง 5 ศพ เพิ่งได้รับอภัยโทษออกจากเรือนจำได้ไม่นาน ก็ก่อคดีสะเทือนขวัญขึ้นอีกเป็นศพรายที่ 6 แต่ปรากฏว่า มีเรื่องราวเกิดขึ้นใหม่ครับ เรียกได้ว่ามาแรงแซงทุกพื้นที่ข่าวจริงๆ ส่วนเรื่องฆาตกรต่อเนื่อง เดี๋ยวยกไปสัปดาห์หน้านะครับ
เกี่ยวกับกรณีที่มีอาม่าท่านหนึ่งตบหน้าเด็กนักเรียนหนึ่งครั้ง และเด็กนักเรียนก็ตอบโต้ทันทีด้วยการตบและจิกผมอาม่า จนอาม่านิ่งไปสักพัก และมีคนเข้ามาให้การช่วยเหลือ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่เด็กกำลังเตรียมตัวสอบ
เหตุการณ์ครั้งนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจว่า การที่ผู้ใหญ่ตบเด็กนักเรียน หรือเด็กนักเรียนตบผู้ใหญ่ มีโทษทางอาญาแตกต่างกันหรือไม่
กรณี ผู้ใหญ่ตบเด็กนักเรียน หรือเด็กนักเรียนตบผู้ใหญ่ มีโทษทางอาญาเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นการใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391
สำหรับผู้ใหญ่ที่กระทำความผิดก็คงต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนจะมีเหตุบรรเทาโทษอย่างอื่นหรือไม่ ก็แล้วแต่กรณีๆ ไป แต่สำหรับเด็กมีกฎหมายกำหนดให้ศาลใช้ดุลพินิจในการลดโทษไว้โดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่ศาลจะใช้ดุลยพินิจในการตักเตือนและปล่อยตัวเด็กไป เนื่องจากเป็นเยาวชน อายุยังน้อย ดังนั้น การควบคุมอารมณ์หรือ การคิด ตัดสินใจ กระทำ จึงไม่คิดให้รอบคอบดังเช่นผู้ใหญ่ กฎหมายจึงให้โอกาสเด็กในการกลับตัวกลับใจมากกว่ากรณีที่ผู้ใหญ่กระทำความผิด อีกทั้ง ยังต้องคำนึงถึงอนาคตของเด็กเป็นหลัก
...
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ผู้ใดอายุกว่าสิบห้าปีแต่ต่ำกว่าสิบแปดปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ให้ศาลพิจารณาถึงความรู้ผิดชอบและสิ่งอื่นทั้งปวงเกี่ยวกับผู้นั้น ในอันที่จะควรวินิจฉัยว่าสมควรพิพากษาลงโทษผู้นั้นหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่าไม่สมควรพิพากษาลงโทษ ก็ให้จัดการตามมาตรา 74 หรือถ้าศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษ ก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่ง
ในการเรียกร้องค่าเสียหาย อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดทางอาญา หรือที่เรียกว่าคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น ในกรณีที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งสมัครใจทำร้ายกัน จำเป็นจะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์เป็นสำคัญว่า ฝ่ายใดเป็นผู้ก่อเหตุมากน้อยกว่ากันเพียงใด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ประกอบ มาตรา 223 ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร
สุดท้ายนี้ การใช้คำพูดที่รุนแรงกับอีกฝ่าย หรือ แม้แต่การใช้กำลัง เพื่อยุติปัญหา ไม่ใช่ทางออกนะครับ แต่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเดือดร้อนมาสู่ตัวท่านและครอบครัวได้ครับ การใช้สติในการแก้ปัญหา การเข้าใจซึ่งกันและกัน และการลดอัตตาในตนเองลงบ้าง เป็นสิ่งสำคัญ ตลอดจนทำให้ปัญหายุติลง โดยสมประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายครับครับ
สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ Facebook : ทนายเจมส์ LK หรือ Instagram : james.lk