“จอมขมังเวท” ลักขโมยตัดกะโหลกศีรษะ หรือชิ้นส่วน “ศพผีตายโหง” ที่ถูกเก็บ “ดอยศพ” ไว้ในป่าช้า (คำว่าดอยภาษาอีสานหมายถึงการเก็บศพเอาไว้) ยังคงเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะตามพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะ “อีสานตอนล่าง” นับเป็นเรื่องลี้ลับในชุมชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา...
บ่อยครั้งที่เป็นข่าวมักมีเหตุโจรใจบาปนำไปทำเป็นเครื่องรางของขลัง...และทำพิธีสะกดวิญญาณ นำไปเป็นทาสรับใช้ทำร้ายผู้อื่น...
เหตุตัดหัวศพในป่าช้าบ้านหนองมะแซว ต.ดูน อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ จึงไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น...และอาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
เพราะตามวิถีชีวิตคนพื้นถิ่นแห่งนี้ต่างมีความเชื่อมาช้านาน ในเรื่อง “วิชาอาคม พิธีกรรม ทางพุทธเวท และไสยเวท” ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ...จากรุ่นต่อรุ่นจวบกระทั่งยุคสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะ “คุณไสยเขมร” เลื่องลือกันนักกันหนาถึงขั้นได้ชื่อว่า “แรงสุดในบรรดาสายไสยศาสตร์”
แม้ยามไม่สบาย...เจ็บไข้ได้ป่วย เข้ารักษาตามโรงพยาบาลยังไงก็ไม่หาย เสมือนอาการลักษณะ “ถูกของ...มนตร์ดำ” จนหมดหนทางรักษา ก็มักหันหาบุคคลที่สามารถรักษาด้วย “หมอเขมร” หรือ “หมอธรรม” แบบความเชื่อของชาวบ้าน ที่เป็นคนมีวิชาอาคมคุณไสยขาว ยึดอยู่ในศีลธรรม ในการใช้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจริง
ด้วยการประกอบพิธีปัดเป่าคลายความทุกข์โรคภัยไข้เจ็บนี้...บ้างก็หายเป็นปลิดทิ้ง...บ้างก็ยังต้องทนทรมาน กลายเป็นวิถีตามภูมิปัญญาท้องถิ่น และไสยเวทโบราณเขมรพื้นถิ่นคนชายแดน
...
แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ในกลุ่มหมอเขมรก็มีบางคนรักษาศีลอยู่ในธรรมไม่ได้ กลับใช้ความรู้ที่มีทำ “คุณไสย” ทำร้ายคนอื่น ที่ไม่มีทางสู้ เรียกว่า “อวิชชา” จากการได้ร่ำเรียนรู้มาใช้ในทางไม่ถูกต้อง
กลายมาเป็น “ไสยเวท...มนตร์ดำ” ที่เป็น “สิ่งลี้ลับ” มีความเชื่อกันว่า ...ใช้วิชาอาคมนี้แทนมีด ดาบ ปืน ถูกนำมาประกอบพิธีในการทำร้ายผู้อื่น
มีทั้งใช้ “ผีเลี้ยง” ที่ได้มาจากการใช้กระดูกผีตายโหง นำมาเลี้ยง สั่งให้ไปทำร้ายผู้อื่น หรือเข้าสิง ทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้น
ในความน่ากลัวของคุณไสยนี้...ยังมีในเรื่องการใช้สิ่งของเสกเข้าไปอยู่ในร่างกาย เช่น เสกหนังควายเข้าท้อง เสกเส้นผม ตะปูตอกฝาโลง และใบมีด สารพัดสิ่งเสกได้ และยังมีการทำหุ่นพยนต์ควายธนู ให้ออกไปขวิดชนทำร้ายผู้อื่น แต่ที่มักเห็นกันบ่อยคุณไสยทั่วไป คือ น้ำมันพราย มหาเสน่ห์ ให้คนรักคนหลง...
หากใครโดนคุณไสยมักไม่มีวิธีใดรักษาได้ เว้นแต่ต้องให้คนทำคุณไสย...เป็นคนแก้ หรือใช้ผู้รู้มีวิชาคุณไสยแกร่งกล้ากว่าเป็นผู้แก้...แต่ต้องเสียค่าไหว้ครูรักษาตามสมควร
ความเชื่อและความนิยมใช้คุณไสยมนตร์ดำนี้ “พี่ทัย” อายุ 52 ปี อดีตคนติดตามหมอเขมร ใน จ.ศรีสะเกษ ให้ข้อมูลว่าเรื่องนี้ไม่เชื่อ...แต่อย่าลบหลู่...ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในบางชุมชนพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยังมีบุคคลที่ได้รับถ่ายทอดวิชาคาถาอาคมมาจากบรรพบุรุษหลงเหลืออยู่ ในการประกอบพิธีแก้คุณไสย ให้กับบุคคลถูกกลั่นแกล้งด้วยมนตร์ดำ เพื่อนำสิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย ให้เห็นอยู่ตลอดทุกวัน
สาเหตุเพราะยังมีการใช้ “ไสยศาสตร์ มนตร์ดำ” มุ่งทำร้ายกันและกัน โดยเฉพาะทำยามหาเสน่ห์หรือยาสั่งกันในพื้นที่นี้บางคนมีอาการเจ็บป่วยบางอย่าง นำตัวไปรักษากลับไม่ดีขึ้น หรือถูกวิญญาณมาเข้าสิงเอาชีวิต หรือทำให้เจ็บป่วย
ย้อนไปสัก 40 กว่าปีก่อนนี้...หลังเหตุการณ์เขมรแดงแตก ต่างทะลักแตกเข้ามาอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีคนไทยเชื้อสายกัมพูชาอาศัยมากมาย ที่ใช้ภาษากัมพูชา และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีกันอยู่...ที่บางคนมีวิชาอาคมไสยศาสตร์ เปิดสำนักรักษาคนถูกไสยศาสตร์ มนตร์ดำ
กระทั่งเริ่มพูดถึง “หมอธรรม” บางคนเรียกว่า “หมอเขมร” ที่มีวิชาอาคม...และวิชาการใช้สมุนไพรที่ร่ำเรียนมา...ช่วยรักษาโรคผู้ป่วยตามธรรมชาติ หรือโรคอันเกิดจากมนตร์ดำ และโรคภัยเกิดจากภูตผีปีศาจ...
สิ่งนี้ต้องรักษาด้วยการใช้คาถาอาคมหรือสมุนไพร ประกอบตามวิธีแบบผสมผสานใช้ในการรักษา “คนถูกของ” ตามความเชื่อ
ยุคนั้นไม่มีอนามัยตำบลมากมายเหมือนทุกวันนี้ หากใครเจ็บป่วย ต้องเดินทางไปรักษาที่ในโรงพยาบาลประจำอำเภอเท่านั้น ซึ่งในการเดินทางต่างมีความลำบาก กลายเป็นอุปสรรคให้ชาวบ้านเจ็บป่วยต้องหันเข้ามารักษากับหมอพื้นบ้านนี้ ที่มีบทบาทรุ่งเรืองอย่างมาก เพราะมีรายได้จากการเรียกเก็บเงินค่าไหว้ครูในการรักษา
ทำให้ชาวบ้านต้องการเรียนวิชาไสยเวทนี้ จนเกิดการต่อสู้แข่งขันกัน ในเชิงธุรกิจ ที่อาจเรียกว่า “พุทธพาณิชย์” เพื่อให้เกิดมีรายได้...
มีการสะสมไสยศาสตร์ด้านมืด ตะปูตอกฝาโลง ผ้าห่อศพ หนังควาย หนังหมู หุ่นพยนต์ควายธนู ใช้ทำคุณไสย อีกทั้งยังมีการสะสมดวงวิญญาณของผีตายโหง ที่ต้องใช้ชิ้นส่วนกระดูกคนตายเฮี้ยนๆ โดยเฉพาะกะโหลก ได้ผลแรงที่สุด มาเป็นทาสรับใช้ให้ไปทำร้ายผู้อื่น ให้ต้องรับความทุกข์ทรมาน มีอาการเจ็บป่วย จนถึงขั้นเอาชีวิต
...
สร้างความนิยมให้รับรู้กันว่า...ตัวเองมีวิชาอาคมไสยเวทแกร่งกล้า ทำให้ชาวบ้านต้องหวังพึ่งพารักษาแก้คุณไสย...เรียกเก็บค่าไหว้ครูราว 100-500 บาทต่อครั้ง หรือทำเรื่องเกี่ยวกับมหาเสน่ห์ต่างๆ แต่เลวร้ายกว่านั้น...รับจ้างทำคุณไสยครอบงำคนที่มีความเกลียดชังกัน หวังให้เขามีอันเป็นไป ที่มีค่าไหว้ครูหลักพันบาท
หรือ...แม้สิ่งของ ทรัพย์สูญหาย ก็ต้องเข้าพึ่งหมอธรรม ใช้ผีเลี้ยง ตามหาจนได้คืนมา เช่น “วัว ควาย” ชาวบ้านหาย มาขอให้หมอธรรมช่วยไม่ทันข้ามคืนด้วยซ้ำ ก็ได้คืนครบทุกตัว...น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ
ครานั้นใครมีวิชาอาคมย่อมได้เปรียบ ไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยว ทุกคนให้ความเคารพนับถือ ในแต่ละตำบลต้องมีหมอธรรมไม่ต่ำกว่า 10 สำนัก ทุกคนมักมีรายได้เป็นกอบ...เป็นกำ บางคนมีฐานะร่ำรวยขึ้น
“ครั้งหนึ่งเห็นกับตา...มีชาวบ้านไม่เชื่อว่าหมอธรรมมีวิชาอาคม เกิดท้าทายลองของกันในวงสุราขึ้น ทันใดนั้นได้ทำพิธีเสกตะปูตอกฝาโลง ให้ไปอยู่ในลูกแตงโม ทุกคนถึงกับตะลึง...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกัน” พี่ทัย ว่า
ในอดีตหมอธรรมที่วิชาอาคมเก่งกล้าจริงๆ ต้องมีหัวกะโหลกผีตายโหงแต่ไม่โชว์กัน มักจัดเก็บไว้ในห้องทำพิธีโดยเฉพาะเพราะสิ่งนี้สามารถป้องกันอันตรายจากภูตผีปีศาจมารังควาน หรือหมอเขมรทำของมาทำร้ายได้
ทว่า...“ไสยดำหรือมนตร์ดำ” เป็นสายด้านมืดที่ต้องคำสาป คนเรียนต้องปฏิบัติ เพราะมนตร์ดำอาจย้อนกลับมาทำร้ายคนในครอบครัวและตัวเองได้ เจ็บป่วยเรื้อรัง ทำมาหากินไม่รุ่งเรือง มักมีการคัดค้านไม่ให้เรียนกันหรือผู้ที่มีวิชาก็ไม่ถ่ายทอดวิชาต่อ ทำให้มนตร์ดำคาถาด้านนี้มีผู้สืบทอดลดน้อยลงอย่างมาก
ในยุคปัจจุบันหมอด้านมนตร์ดำ...มีน้อยมากแทบไม่หลงเหลือ แต่เหตุการณ์ตัดหัวผีตายโหงที่มักเกิดขึ้นบ่อยนั้น ต้องมีคนสั่งการ ระดับผู้มีวิชาอาคมแกร่งกล้า เพราะหากผิดพลาด มีโอกาสย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
...
และไม่เชื่อว่า...นำวิญญาณไปเลี้ยง ใช้ทำคุณไสย ทำร้ายผู้อื่นเหมือนอดีต
สิ่งที่มีโอกาสเป็นไปได้...มองไปในเรื่องมี “ออเดอร์”...นำไปทำ “ปั้นเหน่ง” หรือหน้าผากผีตายโหง ขายพวกชอบเล่นไสยศาสตร์ มนตร์ดำ ที่มีราคาสูงมาก เพราะเชื่อว่ามีพุทธคุณครบด้าน...เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ พรายกระซิบช่วยระวังป้องกันภัย เตือนภัย ให้แคล้วคลาด ใช้ป้องกันเหตุคุณไสย ขอโชคลาภ รวมถึงค้าขายรุ่งเรือง
ไสยศาสตร์มนตร์ดำ ไม่ใช่มีเฉพาะคนไทย “มีความเชื่อ” หากแต่ยังมีคนต่างแดน “ก็เชื่อ”...นิยมชื่นชอบ จนกลายเป็นธุรกิจส่งออก...ทำให้คนร่ำรวยมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว...
เรื่องทำนองอย่างนี้... “ไม่เชื่อ...อย่าลบหลู่”...แม้คนไม่เชื่อเอง...ก็ไม่กล้าพูดเต็มปาก เพราะไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ ที่ยังถือกันว่า...“เป็นสิ่งลี้ลับ” ที่มีอยู่จริง.