พฤติกรรมของอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางคนกำลังส่งผลกระทบถึงผู้ใต้บังคับบัญชา
มีจดหมายร้องทุกข์ในความไม่โปร่งใสของ สหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจจังหวัดหนึ่ง มี ผบก. มานั่งเป็นประธานที่ไม่ได้มีการคัดเลือกจากสมาชิก นำเงินสหกรณ์พา ผกก.ในสังกัดไปเที่ยวต่างประเทศ และประเคนให้ “นักการเมือง” ที่เดินทางมาราชการในจังหวัดกว่า 6 แสนบาท
ส่วนเงินปันผลประจำปีลดลงอย่างน่าใจหาย จากที่เคยเพิ่มปีละ 3,000-4,000 บาท ปีที่ผ่านมาเพิ่มแค่คนละ 300-400 บาท
กระทั่งเกษียณอายุราชการไปแล้วยังไม่ยอมออกจากการนั่งตำแหน่งประธาน แถมเอาคนใกล้ชิดมาเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชี และคนขับรถเป็นคณะกรรมการ มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 6,000 บาท
ตอกย้ำการบริหารงานแบบไม่โปร่งใสไม่ชอบมาพากล
เคยมีตำรวจที่ทำงานอยู่ในสหกรณ์ทนไม่ไหว ยกมือสอบถามปัญหากลางที่ประชุมสหกรณ์ สุดท้ายโดนย้ายออกนอกหน่วย
อีกจังหวัดเกิดขึ้นเมื่อ “แม่ทัพหน่วย” เกษียณอายุราชการไม่ยอมปล่อยวางกองผลประโยชน์ ใช้ขั้วอำนาจโยก ผบก.คนเก่า พ้นก้างขวางคอ เพื่อดัน “เพื่อนตัวเอง” มานั่งแท่นแทน
ก่อนตั้งโต๊ะเคลียร์ “บัญชีส่วย” ประกาศ เปิดไฟเขียวทั่วทุกพื้นที่ ปล่อยให้ “บ่อนพนัน” เกลื่อน ไม่สนนโยบายปราบปรามอบายมุขของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เรียกรับรายได้จาก “ธุรกิจสีเทา” หวังเอาไปใช้ในบั้นปลายชีวิตหลังเกษียณ
อดีตนายตำรวจใหญ่ประเภทนี้ ล้วนมีเส้นทางเติบโตมาจากการ “วิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง” ถึงแข่งกันกอบโกยหาทุนคืนบวกผลกำไรก้อนงาม
เหมือนปล่อย เชื้อโรคร้าย ทำลายวัฒนธรรมตำรวจที่ทิ้งอุดมการณ์ในหน้าที่ไปเลือกไขว่คว้า “เนื้อเงิน” ประมูลเหนือ “เนื้องาน” เพื่อจะเร่งความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ
...
สะท้อนความล้มเหลวสะสมเต็มอาณาจักรโล่เงิน.
"สหบาท"