สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้ขอนำเสนอเรื่องราวของการค้ำประกันบุคคลเข้าทำงานครับ ซึ่งผมเชื่อว่าบทความบทนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ได้ค้ำประกันบุคคลเข้าทำงานแล้ว หรืออยู่ระหว่างตัดสินใจค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน ท่านควรทราบว่างานประเภทใดที่นายจ้างสามารถเรียกหลักประกันการทำงานได้ และต่อไปหากบุคคลที่เราตัดสินใจค้ำประกันการทำงานนั้น ไปทำให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง หรือ ทุจริตต่อหน้าที่ ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบอย่างไร ตลอดจนข้อควรระวังเมื่อ บุคคลที่ท่านค้ำประกันการทำงานนั้น ได้ก่อให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว

การค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน เป็นการยืนยันต่อนายจ้างว่า บุคคลที่กำลังจะเข้าทำงานนั้น เป็นคนดี มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่โกง ไม่ทุจริต แต่หากมีความเสียหายเกิดขึ้นเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่การงานดังกล่าว ผู้ค้ำประกันยินดีชดใช้ค่าเสียหายแทนบุคคลนั้น

งานประเภทใดบ้างที่ นายจ้างสามารถเรียกเงินประกันหรือรับหลักประกันการทำงานได้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ปี 2541 มาตรา 10 ประกอบกับหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้งานดังต่อไปนี้นายจ้างสามารถเรียกหลักประกัน เพื่อประกันความเสียหายหรือการค้ำประกันโดยบุคคลได้

(1) งานสมุห์บัญชี
(2) งานพนักงานเก็บหรือจ่ายเงิน
(3) งานควบคุมหรือรับผิดชอบเกี่ยวกับวัตถุมีค่า คือ เพชร พลอย เงิน ทองคำ ทองคำขาว และไข่มุก
(4) งานเฝ้าหรือดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินของนายจ้าง หรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายจ้าง
(5) งานติดตามหรือเร่งรัดหนี้สิน
(6) งานควบคุมหรือรับผิดชอบยานพาหนะ
(7) งานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการคลังสินค้า ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่าทรัพย์ ให้เช่าซื้อ ให้กู้ยืม รับฝากทรัพย์ รับจำนอง รับจำนำ รับประกันภัย รับโอนหรือรับจัดส่งเงินหรือการธนาคาร ทั้งนี้ เฉพาะลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ควบคุมเงินหรือทรัพย์สินเพื่อการที่ว่านั้น

...

หากเป็นลักษณะงานที่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ข้างต้นนั้น นายจ้างไม่สามารถเรียกหลักประกัน เพื่อประกันความเสียหาย หรือการค้ำประกันโดยบุคคลได้ครับ

ทั้งนี้ แม้นายจ้างจะมีสิทธิ์เรียกหลักประกันหรือรับหลักประกัน หรือจัดให้มีบุคคลค้ำประกันได้ก็ตาม นายจ้างสามารถเรียกหลักประกันเงินสด หลักประกันอื่นๆ หรือกำหนดให้บุคคลค้ำประกัน ได้ไม่เกิน 60 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวัน โดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับเท่านั้นครับ จะเรียกเอามากกว่านี้ไม่ได้ครับ

ประการสำคัญ หากสัญญาค้ำประกันทำงาน กำหนดให้ผู้ค้ำรับผิดชดใช้ค่าเสียหายโดยไม่จำกัดวงเงิน จะมีผลอย่างไร

ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 354/2561

สัญญาค้ำประกันการทำงานของลูกจ้าง โดยกำหนดให้คนค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้หนี้สินและความเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างหรือนายจ้าง กรณีที่ลูกจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง นั้น เป็นการกำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันโดยไม่จำกัดวงเงิน จึงเป็นการที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันโดยการค้ำด้วยบุคคลเป็นวงเงินเกินกว่า 60 เท่าของอัตราค่าจ้างรายวัน อันเป็นการฝ่าฝืน ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ.2551 ออกตาม มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ สัญญาค้ำประกันจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 นายจ้างจึงไม่อาจนำ สัญญาค้ำประกันมาฟ้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชดเชยความเสียหายได้

จากคำพิพากษาฎีกาฉบับดังกล่าว แม้ว่าผู้ค้ำประกันจะไม่ต้องรับผิด หากสัญญาค้ำประกันมิได้จำกัดวงเงินค้ำประกันไว้ แต่สิ่งที่ผู้ค้ำประกันการทำงานควรระวัง เมื่อลูกจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างแล้ว ผู้ค้ำประกันไม่ควรไปลงนามรับสภาพหนี้กับนายจ้าง ซึ่งจะก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้อง นอกเหนือจากสัญญาค้ำประกันการทำงานครับ การลงนามในสัญญารับสภาพหนี้ อาจจะมีผลให้นายจ้างสามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบเต็มจำนวนตามที่ลูกจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้างครับ

สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ หรือ Facebook: ทนายเจมส์ LK Instagram : james.lk