นับตั้งแต่ต้นปี 2562 เป็นต้นมา มีไม่ต่ำกว่าสองระลอกใหญ่ๆ ที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บอร์ด สปสช.” ได้เห็นชอบ “ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์” ให้กับผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทองราว 50 ล้านชีวิต

การปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์เหล่านี้ นอกจากจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้รับการยกระดับขึ้น ยังถือเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่มีความคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

แต่...ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทุกๆสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงจำนวนเม็ดเงิน...งบประมาณที่ไม่น้อย ดังนั้นมติของบอร์ด สปสช. จึงต้องตั้งอยู่บนความจำเป็น ข้อมูล และหลักฐานทางวิชาการ

พิจารณาความเป็นไปได้บนผลการศึกษาและความคุ้มค่าทาง... “เศรษฐานะ”

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจมีว่า...การปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ระลอกแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562 โดยที่ประชุมบอร์ด สปสช.ได้เห็นพ้องร่วมกันถึง 5 รายการใหญ่ ประกอบด้วย

หนึ่ง...ขยายสิทธิประโยชน์การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตในกลุ่มผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติ

สอง...นำร่องการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ในหญิงตั้งครรภ์ทุกอายุ

สาม...เพิ่มรายการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับบ้าน (One Day Surgery) ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอีก 12 รายการ รวมเป็น 24 รายการ

...

สี่...ให้ใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ จ 2 (ยาราคาแพง) เพิ่มอีก 4 รายการ

ห้า...ขยายบริการตรวจคัดกรองยีนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผื่นแพ้ยาชนิดรุนแรง สำหรับผู้ป่วยที่ต้องเริ่มรักษาด้วยยา carbamazepine ในทุกกรณี

นอกจากนี้ยังได้มีการปรับชุดบริการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประชากร อายุ 50-70 ปี ให้สะดวกมากขึ้น เพิ่มการผ่าตัดผ่านกล้อง...อุปกรณ์ทันสมัยให้มีแผลผ่าตัดที่เล็กลง...หายกลับบ้านได้เร็วขึ้น เพิ่มเครื่องตรวจติดตามค่าน้ำตาลในเลือดให้ผู้ป่วยเบาหวานเด็ก

ขณะเดียวกัน จะมีการปรับระบบแพทย์ประจำครอบครัวใหม่ ตลอดจนการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงทุกกลุ่มอายุที่จะครอบคลุมถึงผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคมจากความร่วมมือหน่วยบริการในพื้นที่ นับรวมไปถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)

ตลอดจนการเพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการ “แพทย์แผนไทย” มากขึ้น

ทั้งหมดข้างต้นนี้สะท้อนว่าการพัฒนาสิทธิประโยชน์ต่างๆในระบบ “บัตรทอง” ได้เคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดนิ่ง จนมาถึงการประชุมบอร์ด สปสช. ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ครั้งใหญ่เป็น...ระลอกสอง โดยมีด้วยกันอีก 4 รายการสำคัญ

และ...หนึ่งในนั้นนับเป็นความก้าวหน้าในการป้องกันเชื้อเอชไอวี...เอดส์ในประเทศไทย

นั่นก็คือเห็นชอบให้มีการนำร่องบริการป้องกันการติดเชื้อก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Pre-Exposure Prophylaxis) หรือ “PrEP” ในกลุ่มเสี่ยงสูงทุกกลุ่ม และให้มีการวิจัยประเมินผล เพื่อติดตามปัจจัยความสำเร็จในการป้องกันโรค...ลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ด้วย

สิทธิประโยชน์ดังกล่าวเป็นไปตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ระบุว่า PrEP เป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้กับผู้มีความเสี่ยงสูง ควบคู่ไปกับการป้องกันที่มีอยู่เดิม ซึ่งเดิมประเทศไทยได้ให้บริการ PrEP เฉพาะบางพื้นที่โดยการสนับสนุนหลักจากหน่วยงานต่างประเทศ แต่ยังไม่ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงสูงทั้งหมด

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. บอกว่า ผลการศึกษาของโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) พบว่า เมื่อประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์โดยพิจารณาร่วมกับเป้าหมายยุติปัญหาเอดส์ในปี 2573 การให้บริการ PrEP ในทุกกลุ่มเสี่ยงซึ่งมีประมาณ 245,000 คน

นับว่ามีความคุ้มค่า เพราะสามารถช่วยลดอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ต่ำกว่า 1,000 รายต่อปีได้ แต่...ทั้งนี้ต้องใช้งบประมาณ 405 ล้านบาทต่อปี

มากไปกว่านั้น สปสช.ยังได้จัดสรรงบประมาณเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของการรณรงค์การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม...การใช้ถุงยางอนามัย...การตรวจและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย

เป้าหมายสำคัญ...นอกจากการหยุดยั้งเชื้อเอชไอวี...เอดส์แล้ว ยังมีสิทธิประโยชน์อีก 3 รายการที่บอร์ด สปสช.เห็นชอบ นั่นก็คือปรับปรุงชุดบริการผู้ป่วยวัณโรค ตามแนวทางการควบคุมวัณโรคประเทศไทย พ.ศ.2561 เพื่อลดอุบัติการณ์วัณโรค

ที่สำคัญ...ในประเด็นการค้นหาผู้ป่วยในกลุ่มเสี่ยงวัณโรคนั้น จะเน้นกลุ่มผู้สัมผัสวัณโรคและผู้ต้องขัง

...

นอกจากนี้ยังขยายบริการการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและเห็นชอบให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA test...เป็นบริการทดแทนการตรวจคัดกรองแบบดั้งเดิม (Pap smear) เพื่อเพิ่มประสิทธิผลของบริการตรวจคัดกรอง

ซึ่งเป็นไปตามข้อแนะนำฉบับปรับปรุง เดือนกันยายน 2561 ของราชวิทยาลัยฯ

เหลียวมองไปที่สิทธิประโยชน์ทั้งการ “สร้างเสริมสุขภาพ” และ “ป้องกันโรค” นพ.ศักดิ์ชัย ย้ำทิ้งท้ายว่า การรักษา “ผู้ป่วยนอก”...การรักษา “ผู้ป่วยใน” ที่ได้ผ่านการพิจารณาในปี 2562 นี้ จะเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบและครบถ้วนได้ภายในปี 2563

ทบทวนความจำ...หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ “ยุทธศาสตร์ที่ 4” ช่วงปี พ.ศ.2560-2564 เป็นการยกระดับยุทธศาสตร์ที่ 1-3 ภายใต้หลักการ “SAFE”

Sustainability (ยั่งยืน) คือ...ประเทศ รัฐบาล และครัวเรือน สามารถลงทุนในระยะยาวได้...

Adequacy (เพียงพอ) คือทรัพยากร เงิน กำลังคน ต้องเพียงพอ และให้ทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพและป้องกันการล้มละลายจากค่าใช้จ่ายสุขภาพ และ Fairness (เป็นธรรม) คือความเท่าเทียมทั้งการรับภาระค่าใช้จ่ายการรับบริการตามหลักการ “ดี–ป่วย รวย–จน ช่วยกัน”

มุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำทั้งในเชิงภูมิภาค–เมือง คนทั่วไป–กลุ่มเปราะบาง การเข้าไม่ถึงบริการ...ข้อมูล

สุดท้าย...Efficiency (คุ้มค่า) คือการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งต้องคำนึงถึงความทันเวลาและความมีคุณภาพ โดยตัวชี้วัดที่ชัดเจนคือคุณภาพของการให้บริการ (ไม่ใช่ปริมาณ) และระดับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เคยอธิบายสั้นๆกระชับว่า...

...

“นั่นก็คือการสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงบริการ โดยมุ่งเน้นกลุ่มเปราะบางและกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการ การสร้างความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานและความเพียงพอ โดยเฉพาะชุดสิทธิประโยชน์”

“ดี–ป่วย รวย–จน ช่วยกัน”...ลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียม คาดหวังกันว่าสิทธิ “ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง” จะต้องดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ.