สภาพอากาศในระยะนี้ทั้งร้อนชื้นสลับกับฝนตก เอื้อให้โรคเชื้อราศัตรูพืชระบาดได้ดีเป็นที่สุด กรมวิชาการเกษตรเตือนเกษตรกรผู้ปลูกดาวเรืองให้เฝ้าระวังการระบาดของโรคดอกเน่า

มักพบได้ในระยะดาวเรืองติดดอก โดยจะแสดงอาการเริ่มแรกที่กลีบดอกมีลักษณะฉ่ำน้ำ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลจากปลายกลีบดอกไปหาโคนดอก จากนั้นจะเน่าลุกลามเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั่วทั้งดอก ทำให้ดอกดาวเรืองเสียคุณภาพ

หากเชื้อราเข้าทำลายในระยะดอกตูม ดอกจะไม่สามารถบานได้ กรณีเชื้อราเข้าทำลายรุนแรงในระยะที่ดอกบานแล้ว เชื้อราจะขยายลุกลามไปสู่ต้น ทำให้ต้นเน่าและยืนต้นตายในที่สุด

สำหรับพื้นที่ที่มีฝนตกชุกและอากาศมีความชื้นสูง ให้เกษตรกรหมั่นสำรวจตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากเริ่มพบอาการของโรคที่ดอก ให้ตัดดอกที่เป็นโรคหรือตัดส่วนที่เป็นโรคไปทำลายหรือฝังดินนอกแปลงปลูกทันที เพื่อลดปริมาณเชื้อราก่อโรค

อีกทั้งควรกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก และตัดแต่งใบแก่ออก เพื่อให้ต้นโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ซึ่งถือเป็นการลดความชื้นในดิน ไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อราสาเหตุโรค

แต่ถ้าจัดการไปแล้ว ยังเอาไม่อยู่ โรคดอกเน่ายังคงระบาดอยู่อีก ให้เกษตรกรฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช ไดฟีโนโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แมนโคเซบ 80% ดับเบิลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอโรทาโลนิล 50% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร โดยให้พ่นทุก 5-7 วัน

สำหรับการปลูกในฤดูถัดไป กรมส่งเสริมการเกษตร แนะให้เลือกพื้นที่ปลูกที่ไม่เคยมีการระบาดของโรคนี้มาก่อน เลือกใช้ต้นพันธุ์ที่ปลอดโรคจากแหล่งที่เชื่อถือได้

ก่อนปลูกให้ใส่เชื้อราไตรโคเดอร์มาลงในดินแปลงเพาะกล้า โดยผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ อัตราส่วน 0.5 กก. ต่อ 50 กก. หว่านลงในแปลงก่อนหว่านเมล็ดพืช และใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก อัตรา 50 ก. (กรัม) ต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กก. เพื่อป้องกันเชื้อราที่อาจติดมากับเมล็ดพันธุ์.

...

สะ-เล-เต