“คดีจับแพะ” มักเกิดกับชาวบ้าน “คนหาเช้ากินค่ำ” กลายเป็นจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรมไทย ที่ถูกเรียกร้องจากผู้มีฐานะยากจน ไม่สามารถเข้าถึง “ความยุติธรรม” อาจเกิดขึ้นมาตั้งแต่ “ชั้นสอบสวน” ในการรวบรวมพยานหลักฐาน และมองว่าความยุติธรรมเอื้อประโยชน์ให้แก่คนรวย

หนำซ้ำ...ในชั้นต้นยังมีการจับกุมง่าย แจ้งข้อหาก็ง่าย และฟ้องคดีก็ง่าย แต่ที่ยากคือ...ขอประกันตัว ต้องพิจารณา...1.การหลบหนี 2.ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน 3.เป็นอันตรายต่อสังคม และ 4.มีหลักทรัพย์ประกัน

กลายเป็นว่าจะปล่อยผู้ถูกกล่าวหา...ต้องถามว่า “มีเงิน หรือหลักทรัพย์หรือไม่”...ส่วนใครจะผิด...หรือไม่ผิด ให้ไปสู้พิสูจน์กันในชั้นศาล แต่ถ้ามี “คำพิพากษายกฟ้องคดี” นั้น หมายความว่า ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุกฟรี เพราะไม่ได้ประกันตัว จนมีเสียงสะท้อนกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผ่านเวทีเสวนา “จะปฏิรูปงานสอบสวนและการสั่งคดีของอัยการอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม ประชาชนเชื่อถือเชื่อมั่น”

เสียงสะท้อนปัญหากระบวนการยุติธรรม ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง อัยการจังหวัด สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดี จ.กาญจนบุรี บอกว่า ตามกระบวนการยุติธรรมที่ดีต้องเสมอภาค...ใครทำผิด...ต้องรับโทษเหมือนกันทุกคน แต่ในปัจจุบัน...ยังมีบุคคลบางคนที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่ถูกดำเนินคดี เพราะมีเงิน อำนาจ ทำคดีให้บิดพลิ้ว บิดเบือน และปล่อยให้คนกระทำผิดหลุดรอดกันอยู่...

ส่งเสริมผู้มีอำนาจ อิทธิพล หลุดจากกระบวนการยุติธรรม ที่ต่างจากชาวบ้าน บางคนถูกดำเนินคดีแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ทั้งที่ไม่ได้กระทำผิดอะไร นี่คือ...กระบวนการยุติธรรมที่มีแนวโน้มเลวร้ายมากขึ้น

...

แม้ว่ามีคณะการปฏิรูปกฎหมายมากมาย เพื่อตรวจสอบสาเหตุต่างๆ แต่กลับไม่เกิดผลที่ดีขึ้น เพราะระบบการออกกฎหมายใหม่มักใช้ “พลัง...พวกมาก...ลากไป” ต้องการอะไร...ก็เขียนกันเอง ทำให้กฎหมายออกใหม่ ถูกเขียนมาไม่ตรงหลักทางวิชาการ ส่วนผู้มีความรู้ ก็กลับถูกผลประโยชน์ บังตาบิดเบือนความถูกต้อง

ที่ผ่านมาเคยทำงานคณะในกระบวนการปฏิบัติรูปกฎหมาย และคณะกรรมการร่างกฎหมายหลายฉบับ พบว่า หลายครั้งหลักการกฎหมายที่ดีมักกลับถูกตีตก...เพราะข้อกฎหมายนั้น...ไปขัดผลประโยชน์ของคนบางคนในกระบวนการยุติธรรม และบางกลุ่มคนภาคการเมือง

กลายเป็นสังคมมองกันว่า...กระบวนการยุติธรรมไทยเริ่มไม่มีประสิทธิภาพ มีการปล่อยผู้กระทำความผิดลอยนวล แต่กลับมุ่งเป้าดำเนินคดีกับ “ผู้บริสุทธิ์” หรือ “คนจน” มากกว่า...ส่งผลกระทบต่อประชาชนคนตาดำๆ ไม่มีทางออก...ต้องหันพึ่งสื่อมวลชน หรือองค์กรต่างๆ เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถพึ่งได้...

สิ่งที่ประชาชนต้องการคือ กระบวนการยุติธรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือ... ปราบปราม...ไม่ให้คนชั่วร้ายกระทำความผิด เมื่อกระทำผิดก็ต้องรับโทษไม่มีข้อยกเว้น ที่ต้องตรงไปตรงมา ไม่มีการบิดเบือนอะไร

“พยานหลักฐานทุกอย่างเป็นอย่างไร...ก็ต้องเป็นอย่างแบบนั้น ไม่สามารถตัดต่อ บิดเบือน ลบทิ้ง ตามหลักกระบวนการยุติธรรมที่ดี ต้องพึ่งพาพยานหลักฐาน ที่มีความสมบูรณ์ทั้งหมด รวมถึงข้อเท็จจริง ต้องถูกรับรู้โดยพนักงานอัยการ ถูกนำเสนอใช้ในชั้นศาล ส่วนที่เหลือต้องเป็นอำนาจของศาล ในการพิจารณาคดี” ดร.น้ำแท้ ว่า

กระบวนการยุติธรรมเช่นนั้น มักมีอยู่ในประเทศพัฒนา เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศเอเชีย ที่มีความเจริญแล้ว...แต่ประเทศไทยยังไปไม่ถึงจุดนั้น ยกตัวอย่างเช่น “คดีล่าเสือดำ” หน่วยงานมีหน้าที่เก็บพยานหลักฐาน บอกว่าไม่พบดีเอ็นเอเสือดำในที่เกิดเหตุ...โชคดีหน่วยงานป่าไม้ เข้าเก็บหลักฐานไว้ จึงสามารถดำเนินคดีต่อได้

ในต่างประเทศคดีอาญา...มีหน่วยงานอื่นหลายหน่วยงาน มีการร่วมกันเข้ามาเก็บพยานหลักฐาน วัตถุพยาน และผู้เห็นเหตุทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถบิดเบือน...หรือทำสำนวนบิดพลิ้วเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

นี่คือตัวอย่างว่า...กระบวนการยุติธรรมที่ดี...พยานหลักฐานในชั้นต้น...ถูกเก็บรวบรวมตามความจริงอย่างสมบูรณ์ และพนักงานอัยการ รับรู้เข้าตรวจสอบพยานหลักฐานนั้นได้ ที่ไม่ต้องรอสำนวน...

ที่ผ่านมา...ต้องยอมรับว่า หน่วยงานตำรวจมีหน้าที่ทำสำนวน และรวบรวมพยานหลักฐานชั้นต้น มีบางครั้ง...บางคดี...ใช้การทำสำนวนผ่านไปนานถึงค่อยส่งสำนวน...จนพยานหลักฐานบางอย่างสูญหาย เมื่อพนักงานอัยการ รับสำนวนมาตรวจสอบสั่งฟ้องคดี ก็ไม่สามารถสั่งสอบ หรือค้นพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้

จากสาเหตุกระบวนรับรู้พยานหลักฐานในชั้นต้น มีการผูกขาดหน่วยงานเดียว ในการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ และเชื่อว่ามีเฉพาะในประเทศไทย เพราะเคยศึกษากฎหมายในหลายประเทศ อาทิ ยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ...

เมื่อจับกุมผู้ถูกกล่าวหา... “กรณีเหตุซึ่งหน้า” จะมีพนักงานอัยการ เข้าตรวจสอบว่า พยานหลักฐาน กระบวนการจับกุม มีเหตุสมควรหรือไม่ เพื่อคุ้มครองผู้ถูกจับกุม หากหลักฐานไม่เพียงพอ...พนักงานอัยการจะสั่งปล่อยทันที และตำรวจก็ไม่มีความผิด ป.อ.ม.157 เจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ต้องย้ำว่า...ถ้ามีความผิดตามพยานหลักฐานเพียงพอ พนักงานอัยการ จะมีความเห็นสั่งฟ้องคดีเบื้องต้น และให้ควบคุมผู้ถูกกล่าวหาไว้ดำเนินคดีตามกฎหมาย และตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เช่น สหรัฐอเมริกา ต้องส่งสำนวนฟ้องคดี 30 วัน และญี่ปุ่น ส่งสำนวนฟ้องคดี 10 วัน

ย้อนมา...ที่ประเทศไทย ตำรวจมักกลัว ป.อ.ม.157 เมื่อมีการจับกุมผู้ถูกกล่าวหาแล้ว มีความพยายามเดินหน้าดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาเอง และขอหมายขัง หรือฝากขังได้นานถึง 84 วัน ในช่วงใกล้กำหนดครบการฝากขังเหลืออีกประมาณ 4-5 วัน...ตำรวจค่อยส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ

...

ในบางคดีมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ จะสั่งให้สอบเพิ่มก็ไม่ได้ ทำให้ต้องร่างฟ้องคดี...เท่าที่พยานหลักฐานมีอยู่ สุดท้ายบางคดีศาลอาจมีคำพิพากษายกฟ้องคดี มีผลให้ผู้ถูกกล่าวหา ถูกเรียกว่า “จับแพะ” ติดคุกฟรี...

เคยมีกรณีตำรวจจับกุมเยาวชน กล่าวหาว่ากระทำความผิด มีฝากขังเป็นเวลาเกือบ 80 วัน ทำให้เยาวชนคนนี้ต้องออกจากโรงเรียน สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี...

ประเด็นต่อมา...ตามหลักสากล...บทบาทพนักงานอัยการ คือ “ไม่ใช่ได้มาซึ่งคำพิพากษาลงโทษ แต่จะต้องได้มาซึ่งความยุติธรรม” หมายความว่า หน้าที่พนักงานอัยการต้องให้ความเป็นธรรมทั้งฝ่ายโจทก์ และจำเลย เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบในการรังสรรค์สำนวนว่า... จะถอยหลัง...หรือเดินหน้าฟ้องคดี...?

เมื่อไรที่ “ศาล” มีคำพิพากษายกฟ้องคดี เมื่อนั้นคือ “หายนะ” เพราะผู้ถูกกล่าวหาคือ “ผู้บริสุทธิ์” แต่กลับถูกทรัพยากรของรัฐ ทั้งตำรวจ อัยการ นำ “ผู้บริสุทธิ์” มาขังรอดำเนินคดีอยู่ในเรือนจำ ที่ไม่ได้รับการประกันตัว

“เคยฟ้องคดีหนึ่ง ที่ต้องสืบพยานหลักฐานในชั้นศาล มีผู้ต้องหาถูกขัง 6 เดือน และนำตัวมาสืบพยานในชั้นศาล...ถึงกับตกใจว่า...หากรู้ว่ามีพยานนี้ตั้งแต่ต้นคงไม่มีคำสั่งฟ้องตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว เพราะอัยการไทยไม่เคยเห็นพยานจนถึงวันสืบพยาน นี่คือจุดอ่อนที่ไม่สามารถให้ความเป็นธรรมได้”

หัวใจสำคัญมีว่า...กระบวนการยุติธรรมที่ดี ต้องนำบุคคลผู้บริสุทธิ์ออกไป จากการถูกลงโทษตั้งแต่วินาทีแรก ที่ไม่ควรจับกุมมาด้วยซ้ำ และอยากให้นักกฎหมายไทย ควรเปลี่ยนความคิดใหม่ ที่มาของคำว่า...ให้เรื่องทุกอย่างไปพิสูจน์กันในชั้นศาล นี่คือ...การผลักดัน “ผู้บริสุทธิ์” ไปขึ้นสู่ในชั้นศาล

...

ทว่า...หากคนนั้นทำความผิดจริง ในชั้นศาลมีคำพิพากษายกฟ้องคดี ก็เป็นเรื่อง “หายนะ ปล่อยคนชั่วลอยนวล” เช่นกัน เพราะจะนำฟ้องคดีใหม่ไม่ได้ ที่อาจเกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐานในชั้นต้น ไม่ได้มาตรฐาน

ดังนั้นพนักงานอัยการ หรือหน่วยงานอื่น อาทิ ฝ่ายปกครอง ควรมีอำนาจลงตรวจสอบพยานหลักฐานได้ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเป็น “การคาน หรือถ่วงดุลอำนาจ” ไม่ให้ใครบิดเบือน หรือทำลายพยานหลักฐานนั้นได้

“จับหรือขังก่อน”...และมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ถือว่าเป็นการ...“ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ที่มีอยู่จริงในสังคมไทย.