หลังจากตระเวนไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เพิ่งค้นพบว่าการขับรถเที่ยวในวันธรรมดาเป็นอะไรที่สบายๆที่สุด คนไม่เยอะ ไม่ต้องแย่งกับใคร ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็แวะพัก
ล่าสุดขับรถไปเที่ยวสุรินทร์ถิ่นเมืองช้าง ทำให้รู้ว่า เมืองรองต้องห้ามพลาดอีกเมืองน่าจะเป็นที่นี่ละ เพราะมีเรื่องราวมากมายแบบที่เล่าได้ไม่รู้เบื่อ
หมุดหมายแรกของทริปตะลอนอีสานใต้คราวนี้ ตั้งเข็มมุ่งตรงสู่บ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร เพื่อไปชมความงามของ ผ้าไหมสุรินทร์...อันเลื่องชื่อ โดยเฉพาะการเป็นแหล่งผลิตทอและตัดเย็บฉลองพระองค์ถวายแด่เจ้านายทุกพระองค์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก...ที่ผ่านมา
เพจอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทเชื้อสายกวย กูย ระบุว่า ผ้าไหมทุกผืนที่ใช้สำหรับฉลองพระองค์งานนี้ล้วนทอโดยชาวบ้านจากจังหวัดสุรินทร์ โดยฉลองพระองค์รัชกาลที่ 10 ปักโดยช่างฝีมือหมู่บ้านท่าสว่าง นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ขับรถมาไกลถึงนี่ ซึ่งคุ้มค่ามากๆกับการได้มาชมความงามของผ้าไหมยกทอง ของ กลุ่มทอผ้าจันทร์โสมา ที่มี อ.วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ครูศิลป์ของแผ่นดินผ้าทอไหมยกทอง เป็นหัวหน้ากลุ่ม
...
สำหรับงานทอผ้าที่ท่าสว่างนี้ จะเรียกว่าเป็น อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ ก็ว่าได้ เพราะกี่ที่ใช้ทอผ้านั้นไม่ธรรมดาใช้คนทอแต่ละผืนประมาณ 4-5 คน ได้รับการขนานนามในการทอผ้าว่า เป็นแหล่งทอผ้าไหม 1,416 ตะกอ ในการทอผ้าไหมแต่ละผืน ทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามลำดับตะกอที่เก็บลายไว้ ผิดไม่ได้แม้แต่เส้นเดียวและต่อวันจะทอได้แค่ 5-7 เซนติเมตรเท่านั้น โดยผ้าผืนที่ยาวขนาด 2 เมตร จะใช้เวลาทอประมาณ 2 เดือน
ส่วนไหมที่นำมาทอนั้น ก็ละเอียดนุ่มนวล ย้อมสีธรรมชาติ ด้วยแม่สีหลักสามสี คือ สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแล และ สีครามจากเมล็ดคราม สนนราคาผ้าไหมสุรินทร์ ถ้าทอแบบ 700-800 ตะกอ ราคาจะอยู่ที่เมตรละประมาณ 30,000 บาท แต่ถ้าทอแบบ 1,000 ตะกอขึ้นไป ราคาต่อเมตรจะอยู่ที่ประมาณ 150,000-200,000 บาท ซึ่งต้องบอกว่าสูงเกินเอื้อมสำหรับคนอย่างเราๆ
ออกจากบ้านท่าสว่าง ดูการทอผ้าไหมแล้ว อีกที่...ที่พลาดไม่ได้ คือ หมู่บ้านเครื่องเงินเขวาสินรินทร์ หรือ กลุ่มหัตถกรรมเครื่องเงินบ้านโชค หมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในการผลิตลูกประคำเงินที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน ที่เรียกกันว่า ลูกประเกือม ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดกลมคล้าย ลูกประคำ ของไทย เพียงแต่ลูกประเกือมจะทำมาจากเม็ดเงิน มีรูปทรงกลม และมีหลายขนาด เป็นภูมิปัญญาของชาวกัมพูชาที่ตกทอดกันมากว่า 200 ปี ส่วนใหญ่แล้ว นิยมนำประเกือมมาร้อยเป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไลข้อมือ ข้อเท้า โดยตีเป็นลายหลากหลายรูปแบบ เช่น ลายถุงเงิน หมอนหกเหลี่ยม กรวย กระดุม ตะโพน ดอกบัว ตาราง และลายดอกพิกุล
นอกจากงานทอผ้า ทำเครื่องเงินแล้ว สุรินทร์...ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอีกมากมาย หนึ่งในนั้น คือ วนอุทยานพนมสวาย สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและพระพุทธศาสนาที่มีร่องรอยอารยธรรมของชาวขอมโบราณ หลอมรวมกลายเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น
...
คำว่า พนมสวาย เป็นคำภาษาพื้นเมืองของชาวสุรินทร์ มีความหมายว่า ภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์
เขาพนมสวายเป็นภูเขาเตี้ยๆ ประกอบด้วยภูเขา 3 ลูกติดต่อกัน ได้แก่ เขาชาย หรือ เขาพนมเปราะ มีบันไดก่ออิฐถือปูนยาวเหยียดขึ้นไปถึงด้านบนยอดเขาระหว่างทางซึ่งเป็นบันไดนั้นมีระฆัง 1,080 ใบแขวนอยู่ตลอดสองข้างทาง เขาอีกลูกหนึ่ง คือ เขาหญิง หรือ เขาพนมสรัย เป็นที่ตั้งของวัดพนมศิลาราม ซึ่งประดิษฐาน พระพุทธสุรินทรมงคล พระพุทธรูปปางประทานพรประจำเมืองสุรินทร์ ส่วน ยอดเขาคอก หรือ เขาพนมกรอล ที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งย้ายมาจากยอดเขาชายบริเวณใกล้กันมีสถูป สถานที่เก็บอัฐิธาตุพระราชวุฒาจารย์ หรือหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระเกจิสายวิปัสสนาด้วย
พี่หน่อง...ธมลวรรณ เจริญวงศ์พิสิฐ ผอ.ททท.สำนักงานสุรินทร์ นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ แต่ทริปนี้คงเก็บไม่หมด...ไม่ว่าจะเป็นปราสาทศีขรภูมิ ที่ ผอ.ททท.บอกว่า อยากให้ไปดู ผ้าปกาโชค หรือดอกบัว ซึ่งเป็นผ้าลายมัดหมี่ที่มีองค์ปราสาทศีขรภูมิ ดอกบัวและช้าง ย้อมด้วยสีธรรมชาติจากไม้มงคล 9 ชนิด หมักด้วยโคลนใต้ดอกบัว ราคาต่อผืนก็ไม่มากเท่าไหร่ แค่ครึ่งล้านเท่านั้นเอง...
...
แต่เพราะต้องแวะเข้าศรีสะเกษ เพื่อไปดู สะพานไม้ไผ่ที่บุ่งกระแซง อ.โนนคูณ ที่กำลังเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ของศรีสะเกษ...ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก เป็นสะพานไม้ไผ่ ยาวประมาณ 300 เมตร กว้าง 1 เมตร ทอดยาวลงไปกลางบึงบุ่งกระแซง เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของบ้านบก ให้นักท่องเที่ยวได้เดินข้ามไปเยี่ยมชมทุ่งบัวแดง ...แต่ก็ได้อารมณ์ฟิน...ในช่วงหน้าฝนหรือ Green ซีซันแบบนี้
อีกที่...ที่อะเมซิ่งมากๆ...คือ ศรีสะเกษ อควาเรียม (Sisaket Aquarium)...อุแม่เจ้า! เพิ่งรู้ว่า อีสานบ้านเฮามีอควาเรียมแบบนี้กับเขาด้วย ...ถือว่าเป็นอควาเรียมที่ดีทีเดียว มีทั้งปลาทะเล, ปลาน้ำจืด และปลาสวยงามกว่า 100 ชนิด มีอุโมงค์แก้วใต้น้ำ ระยะทาง 24 เมตรให้ได้ชมปลาหลากหลายชนิดอย่างใกล้ชิด
หยุดยาว 12 สิงหานี้...ถ้ายังคิดไม่ออก ว่าจะไปเที่ยวไหน ลองพาแม่ไปอีสานใต้ ดูผ้าไหมงามๆ ตามด้วย ไก่ย่างไม้มะดัน...ที่ห้วยทับทัน ศรีสะเกษ
รับรองว่าฟิน...จากสุรินทร์จนถึงกรุงเทพฯ...เลยล่ะ...!!!!