ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าถวายสัตย์ฯ แล้ว ก็เริ่มทยอยเดินทางเข้าไปทำงานที่กระทรวงต่างๆ ช้าบ้างเร็วบ้าง ยกเว้นกระทรวงกลาโหม ที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจควบเองนั้น มีกำหนดจะเข้ากระทรวงในวันที่ 30 ก.ค.หรือหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว
ข่าวคราวเรื่องปัญหาการแบ่งงานที่ไม่ลงตัวระหว่างรัฐมนตรีว่าการ กับรัฐมนตรีช่วยว่าการในกระทรวงที่มีรัฐมนตรีหลายคนมีปรากฏให้เห็นบ้าง แต่พอไปถามเจ้าตัว ก็จะได้รับการปฏิเสธข่าวด้วยคำตอบที่แทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังไงก็ต้องช่วยกันทำงานอยู่แล้ว” ทั้งที่ในส่วนลึกของจิตใจ รัฐมนตรีช่วยว่าการในหลายกระทรวงต้องตกอยู่ในสภาพน้อยเนื้อต่ำใจที่รัฐมนตรีว่าการ ไม่แบ่งส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจสำคัญในกระทรวงมาให้ดูแล

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการอีกหลายกระทรวงยังคงสงวนท่าทีในเรื่องการแบ่งงานให้รัฐมนตรีช่วยว่าการ โดยให้เหตุผลว่า ขอให้การแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จสิ้นไปเสียก่อน หรือรอให้ทำงานกันระยะหนึ่งก่อน ค่อยแบ่งกันอีกที ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ บรรดารัฐมนตรีช่วยว่าการหลายคน อาจจะต้องนั่งตบยุงรอให้รัฐมนตรีว่าการมาสั่งงานให้ทำเป็นชิ้นๆ ไป ไม่มีอำนาจเข้าไปกำกับดูแลหน่วยราชการหรือรัฐวิสาหกิจใดได้อย่างเบ็ดเสร็จเช่นธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมา
ปัญหาการแบ่งงานระหว่างรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ เป็นเพียงยกแรกของภาพสะท้อนความสามัคคีกลมเกลียวกันในพรรคร่วมรัฐบาล แต่ยังมีปัญหาอื่นที่รออยู่ข้างหน้าคือ การแต่งตั้งเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี รวมทั้งที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่นักการเมืองทั้งที่เป็น ส.ส.และไม่ได้เป็น ส.ส.ต่างหวังที่จะได้รับการแต่งตั้งด้วยกันทั้งสิ้นเพราะถือเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ
...
ในอดีตที่ผ่านมา หากรัฐมนตรีคนใดพูดไม่เก่ง หรือไม่ถนัดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เลขานุการรัฐมนตรีอาจจะเข้ามามีบทบาทในการให้ข่าวแก่สื่อมวลชนแทน จนบางคนได้รับฉายาว่าเป็น “รัฐมนโท” เพราะตอบแทนรัฐมนตรีได้ทุกเรื่อง แต่ในทางกลับกัน หากรัฐมนตรีมีความถนัดในการสื่อสารกับสื่อมวลชน บรรดาเลขานุการรัฐมนตรีก็จะเป็นบุคคลที่โลกลืมไปว่า พวกเขาถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้
อีกเรื่องที่เรามักจะเห็นกันคุ้นตากับนักการเมืองหลายคนที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีโดยเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองสูงหรือมีทีมงานสร้างภาพลักษณ์ที่เก่ง ก็จะเข้ารับงานกระทรวงพร้อมกับประกาศจัดการกับปัญหาเร่งด่วนที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนั้นเพื่อเรียกคะแนนนิยมในทันที ส่วนผลของการลงมือแก้ปัญหาจริงๆ นั้นจะเป็นอย่างไร ต้องอาศัยการติดตามอย่างใกล้ชิด ถ้าสื่อมวลชนไม่เกาะติด หรือรัฐมนตรีสามารถจุดกระแสเรื่องใหม่ขึ้นมาเรื่องเก่าๆ ก็จะถูกลืมไปโดยปริยาย

ส่วนในพรรคฝ่ายค้าน สิ่งที่จะพอคาดเดาได้ในอนาคตอันใกล้ภายหลังจากที่ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรฉบับใหม่ออกมาบังคับใช้แล้วก็คือ ปัญหาในการจัดสรรปันส่วนคณะกรรมาธิการสามัญชุดต่างๆ ระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งก็คงไม่มีใครยอมใครง่ายๆ
ปรากฏการณ์เช่นนี้ ถ้าเกิดขึ้นตามที่คาด ย่อมเป็นการตอกย้ำว่า การเมืองแบบเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนเดือนพฤษภาคม 2557 ยังไม่ได้หายไปไหน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปกว่า 5 ปีแล้วก็ตาม ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนสังคมไทยในมิติต่างๆ มากมาย แต่การเมืองแบบใหม่ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคดิจิทัลแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ภาพของการเมืองแบบใหม่ๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่ปรากฏให้เห็นเลย อาทิ การที่รัฐมนตรีแอบไปตรวจงานในหน่วยราชการต่างๆ ที่ตนเองรับผิดชอบโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือการที่ ส.ส.ฝ่ายค้านจากพรรคใหม่ๆ นั่งรถเมล์ไปประชุมสภาฯ หรือใช้รถไฟในการเดินทางไปพบปะประชาชนในต่างจังหวัด เป็นต้น
แต่เชื่อได้ว่าในยุคดิจิทัลที่ประชาชนสามารถเข้าถึงสื่อได้หลากหลายช่องทางและรูปแบบ พวกเขาต้องการเห็นการเมืองในรูปแบบใหม่ที่ไปไกลกว่าการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี หรือสร้างกระแสให้เกิดความฮือฮาใน Social Media ไปวันๆ โดยหาสาระที่แท้จริงของการเมืองในรูปแบบใหม่ไม่ได้
สิ่งที่ประชาชนเจ้าของภาษีในยุคดิจิทัล น่าจะอยากเห็นก็เช่น การที่รัฐมนตรีลงตรวจงานในต่างจังหวัดโดยไม่ต้องมีการเกณฑ์ข้าราชการหรือพนักงานในหน่วยงานที่สังกัดในจังหวัดนั้นและจังหวัดใกล้เคียงไปรอต้อนรับจนทำให้เสียเวลาในการไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไปโดยใช่เหตุ เพียงเพื่อให้รัฐมนตรีรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้มีบารมีที่มีข้าราชการมาล้อมหน้าล้อมหลัง

...
หรือเราอยากเห็น ส.ส.ที่ไม่แต่งตั้งคนใกล้ตัวและพวกพ้องเข้าไปกินตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ชำนาญการประจำตัวและผู้ช่วยดำเนินงาน โดยไม่ได้เป็นผู้ที่ไปปฏิบัติงานนั้นๆ จริง แต่เป็นการแต่งตั้งหัวคะแนน ส.ส.สอบตก หรือคนขับรถให้เข้าไปกินเงินเดือนเป็นการตอบแทนกันทางการเมือง หรือหากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้คนเหล่านี้ ก็ไม่ควรต้องแต่งตั้งให้ครบตามที่มีสิทธิ์ เพื่อเป็นแบบอย่างให้เห็นการเมืองยุคใหม่อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ เรายังคาดหวังเห็นการอภิปรายของ ส.ส.ในสภาฯ เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่อภิปรายวกวน หรือมุ่งโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยถ้อยคำเสียดสีและเอาแต่อภิปรายหาเสียงให้ตัวเองโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม
จากนี้ไป เราในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีก็อยากที่จะเห็นการเมืองในรูปแบบใหม่ๆ ที่ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสาธารณะอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเมืองที่เอาแต่สร้างภาพไปวันๆ เพื่อช่วงชิงพื้นที่ข่าวในสื่อมวลชนหรือสร้างกระแสการพูดถึงและใส่ร้ายกันใน Social Media เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
หากการเมืองไม่เป็นแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะเริ่มเบื่อหน่ายการเมืองและปล่อยให้นักเมืองใช้ประชาชนที่ตัวเองกล่อมเป็นสาวกได้มาเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองโดยไม่ได้คำนึงถึงวิธีการ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมืองในระยะยาว...
ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี
www.twitter.com/chavarong