กลุ่มวัยรุ่น “ไทใหญ่” ตั้งตัวเป็นแก๊งใช้ชื่อ “ซามูไร” ออกอาละวาด ก่อเหตุอาชญากรรม วิ่งราวทรัพย์ ทะเลาะวิวาท และถึงขั้นถือมีดดาบ “ซามูไร” ลากไปตามถนน...รุมฟันวัยรุ่นที่ไม่เคยรู้จัก หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน แบบไม่เกรงกลัวกฎหมาย ก่อเหตุในพื้นที่ จ.เชียงใหม่บ่อยครั้ง มีผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์อย่างมาก
ทว่า...ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆ...ไม่น่าใช่เรื่องของวัยรุ่น “ทะเลาะวิวาทกันธรรมดา” อย่างที่หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่เข้าใจกัน ตรงกันข้าม...มีความซับซ้อนที่อาจเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ผสมผสานการแย่งชิงพื้นที่ดูแลธุรกิจมืดของผู้มีอิทธิพลคนไทใหญ่รุ่นเก่าบางคน ที่ตั้งตัวเป็นมาเฟียคุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง...
“ไทใหญ่รุ่นใหม่” ก่อตั้ง “แก๊งซามูไร...” สร้างชื่อ บารมี แผ่อิทธิพล รูปแบบคล้าย “ยากูซ่า”
ผศ.ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ทำวิจัยธุรกิจขายบริการในประเทศ อาเซียน เปิดประเด็นต่อไปว่า ปัญหาชาวไทใหญ่ในประเทศเมียนมามีความซับซ้อนหลากหลายรูปแบบ และอพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทย มีหลายรุ่นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
...
ความเชื่อมโยงนำไปสู่อิทธิพล “แก๊งซามูไร ไทใหญ่” ที่ก่อเหตุในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ นั้นเริ่มจากชาวไทใหญ่รุ่นแรก อพยพมาอาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนภาคเหนือ ไทย-พม่า ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอยู่ตามพื้นที่ราบลุ่มริมหุบเขาและเนินเขา หรือดอนสูงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ...เชียงราย...เชียงใหม่
ก่อตั้งหมู่บ้านขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่หลายร้อยหลังคาเรือน เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ทำกิน ในการหลบหนีภัยทางการเมือง และการสู้รบชนกลุ่มน้อยกับทหารพม่า หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนถูกบีบคั้นจากทหารพม่า
หนำซ้ำ...บางคนได้ “บัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง” ผ่านนโยบายกระทรวงมหาดไทย ออกให้แก่ชาวเขาอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงของประเทศไทย บุคคลที่ได้บัตรนี้ มีทั้งชาวเขาดั้งเดิม และชาวเขาอพยพมาจากต่างประเทศใหม่ ที่มีคนไทใหญ่รวมอยู่ด้วย
ซึ่งได้รับสิทธิมีชื่อในทะเบียนคนอยู่ชั่วคราว หรือ ท.ร.13 ตามมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร 2534 มีไม่น้อยที่ได้รับรองสัญชาติไทยไปแล้ว และมีชื่อในทะเบียนคนอยู่ถาวรตามทะเบียนบ้าน ท.ร.14 ใช้สำหรับคนมีสัญชาติไทยและคนต่างด้าว ในใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
และ...มีบางส่วนเข้ามาอยู่ภาคกลางหรือจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงทยอยเข้ามาหางานทำในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งแบ่งออก 2 ประเภท คือ 1.งานแรงงานรับจ้างทั่วไป 2.ขายบริการ ในสถานบันเทิงต่างๆ ทำงานจนกระทั่งมีเงินเก็บ...ฐานะดีขึ้น ตามลำดับ และแยกออกไปทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองในตัวเมืองเชียงใหม่
ภาคปกติ อาทิ ขายของหาบเร่ ขายผ้า หรือโรงน้ำแข็ง รวมถึงบริษัทรักษาความปลอดภัย ส่วนใน ภาคกลางคืน ก็อย่างเช่น สถานบันเทิง ไนต์คลับ บาร์เบียร์ อาบอบนวด ร้านคาราโอเกะ และขายบริการทางเพศ
นับเนื่องต่อจากนี้เองที่มีการชักชวนคนไทใหญ่รุ่นสองเข้ามาเป็นลูกจ้างในร้าน...พอมีเงินในระดับสามารถตั้งตัวได้ก็หันมาเปิดธุรกิจตัวเองเช่นกัน อาจจะร่วมหุ้นหรือแต่งงานกับคนไทย แต่ปัญหาที่พบมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มคนไทใหญ่ประกอบธุรกิจกลางคืนจำพวกสถานบันเทิง อาบอบนวด ร้านคาราโอเกะ สถานขายบริการทางเพศ
ที่ต่อๆมามีการชักชวนวัยรุ่นหนุ่มสาว “รุ่นสาม”...“รุ่นสี่” และมีกลุ่ม “เชียงรุ้ง...เชียงตุง” แอบแฝงอ้างตัวว่าเป็นไทใหญ่ เข้ามาทำงานลูกจ้างแบบผิดกฎหมาย ในสถานประกอบการธุรกิจภาคกลางคืน จนทำให้จำนวนคนไทใหญ่แตกขยายตัวออกไปมากยิ่งขึ้น “รุ่นนี้ไม่มีการปรับตัวเรียนรู้ซึมซับวิถีชีวิตของสังคมคนไทย...ได้ดีเท่ากับคนไทใหญ่รุ่นแรก และมักรวมกลุ่มใช้ความรุนแรง แสดงตัวตนความยิ่งใหญ่ เพื่อชิงเขตพื้นที่ โดยมีกลุ่มไทใหญ่รุ่นพี่...ผู้มีอิทธิพลดั้งเดิม ให้การสนับสนุนเอื้อประโยชน์ ในการประกอบธุรกิจสีดำ หรือสถานบริการของตัวเอง อาทิ ไนต์คลับ คาราโอเกะ จนถูกเรียกว่า แก๊งซามูไร ไทใหญ่...” ผศ.ดร.วศิน ว่า
“ซามูไร ไทใหญ่” จริงๆมีเพียงแค่กลุ่มเดียว แต่แบ่งเป็นหลายแก๊ง ลักษณะเหมือนมาเฟียกลุ่มเล็กๆ มีบทบาทในธุรกิจภาคกลางคืน สถานบันเทิง และบริการของคนไทใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ธุรกิจนี้ขยายไปทั่ว ทั้งในตัวเมืองและตัวอำเภอ แถมกลุ่มสมาชิกแก๊งก็ยังเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถควบคุมกันได้...
...
เงื่อนปัญหาสำคัญสถานบันเทิงเหล่านี้มักจะเกิดความขัดแย้ง “เปิดศึก” แย่งชิงพื้นที่อิทธิพลของตัวเอง ที่มีการถูกแบ่งกลุ่มสร้างอิทธิพล...ชื่อเสียง ความเป็นใหญ่กันเองของภาคบริการ ในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ และยังเป็นการปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกกดขี่...ข่มเหงจากกลุ่มอื่น
ลักษณะรูปแบบนี้ ขอใช้คำว่า “มาเฟียกลางคืน” แบ่งแยกค่ายตามกลุ่มงานประจำที่ทำอยู่ในสถานประกอบการ เช่น ร้านคาราโอเกะ ผับบาร์ ไนต์คลับ มักมีการก่อเหตุทำร้ายร่างกาย หรือทะเลาะวิวาทกันประจำ
ด้วยความพยายามสร้างอิทธิพลของกลุ่ม แสดงบารมี เขตอำนาจทางเศรษฐกิจสีดำ ไม่ให้ถูกกลุ่มไทใหญ่อื่นเข้ามาทำธุรกิจทับซ้อนพื้นที่ทำกินของตัวเอง หรือเรียกกันว่า “ผู้มีอิทธิพลไทใหญ่ แย่งชิงพื้นที่เขตธุรกิจมืด...มีรูปแบบเดียวกับยากูซ่า” ก็น่าจะได้
ให้รู้ต่อไปอีกว่า...เมื่อก่อเหตุมักจะแอบซ่อนในร้าน ทำงานเด็กเสิร์ฟ หรือทำงานหลังครัวตามปกติ หากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม มีความคิดเพียงแค่ว่าถูกผลักดันกลับประเทศ เพราะวัยรุ่นพวกนี้ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือไม่มีสิ่งใดขัดเกลาจิตใจ ส่วนใหญ่ทำงานภาคกลางคืน ที่ไม่เหมือนคนไทใหญ่ทำงานภาคกลางวัน มีเวลาเข้าวัดทำบุญตลอด ประเด็นสำคัญ...
ในจำนวนนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวโยงในเรื่องความขัดแย้งของชาติพันธุ์ที่มีอยู่เดิม และมาใช้พื้นที่ประเทศไทย “เปิดศึก ทะเลาะวิวาทกัน” ร่วมอยู่ด้วย
ที่ผ่านมาเคยลงพื้นที่สำรวจภาคธุรกิจกลางคืนในตัวเมืองเชียงใหม่ พบว่า ส่วนใหญ่มีคนไทใหญ่ทำงานด้านนี้เป็นหลัก แต่ละคนถือบัตรรัฐฉาน บัตรสมาชิกต่อต้านรัฐบาลจีน บัตรสมาชิกต่อต้านรัฐบาลพม่า รวมถึงบัตรสมาชิกของกองกำลังชนกลุ่มน้อยต่างๆในประเทศพม่าด้วย
นับแต่ในช่วงปี 2550 ธุรกิจภาคกลางคืนเปลี่ยนแปลงไปเพราะชนกลุ่มน้อยอื่น รวมถึงมีชนเผ่าต่างๆเข้ามาในวงการนี้ด้วย แต่พยายามบอกตัวเองว่า “เป็นกลุ่มไทใหญ่” เพื่อง่ายต่อการสื่อสาร พูดคุย ที่ไม่ต้องอธิบายตอบคำถามถิ่นกำเนิดชาติพันธุ์ของตัวเอง หากบอกว่าคนไทใหญ่ ทุกคนมีความเข้าใจกันดี ทุกอย่างจบ...
...
นอกจากนี้ในสถานบริการบางแห่งยังอยู่ใต้อิทธิพลเงินทุน “คนไทใหญ่เดิม” มีตั้งแต่สถานบันเทิงย่านถนนนิมมานเหมินทร์...ถนนอัษฎาธร...ถนนเวียงพิงค์ ต.ช้างคลาน และย่านสถานบันเทิงต่างๆในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่มีความขัดแย้ง มีกลุ่มแก๊งขัดผลประโยชน์กัน มีกระบวนการแยกพวกใคร...พวกมันอยู่ตลอด
ทั้งนี้ยังพบอีกว่า...คนไทใหญ่ทำธุรกิจภาคกลางคืน มีการส่งเงินสนับสนุนให้กับกองกำลังของตัวเองทั้งหมด...มีทั้งกองกำลังรักชาติ กองกำลังกู้ชาติรัฐฉาน...มีเป้าหมายกอบกู้ชาติ ล่าสุดยังมีการระดมหาเงินในกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งไปช่วยเหลือในกิจกรรมของกองกำลังตัวเองด้วย
คำถามสำคัญตามมามีว่า...พวกเขาต่อสู้กับรัฐบาลพม่าเพื่ออะไร?
ผศ.ดร.วศิน บอกว่า เพราะคนรุ่นใหม่มีความคิดเปลี่ยนไปต้องการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ แต่ที่ต้องส่งเงินสนับสนุนช่วยเหลือประจำเพราะไม่ต้องถูกเรียกตัว ให้เข้าไปร่วมต่อต้านรัฐบาลพม่า...ในช่วงเกิด “แก๊งซามูไร ไทใหญ่” อาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ของกลุ่มคนเล็กๆเท่านั้นที่ถูกกดทับจากอำนาจของกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมอยู่ด้วยจนต้องแสดงออกถึงความรุนแรง ที่ยังไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมของคนไทยเท่าที่ควร
...
หากมองอีกด้านยังมี “คนไทใหญ่” อีกมากมายที่เป็น “คนดี” ...ต้องการอยู่แบบสงบ ไม่ต้องถูกมองว่าชอบใช้ความรุนแรง และสังคมควรให้ความเป็นธรรมกับพวกเขาเหล่านี้ด้วย.