การค้าอาวุธสงครามตามแนวชาย-แดนไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นมานาน นับจากสิ้นสุดสงครามเขมร 3 ฝ่าย และสงครามระหว่างเขมรแดง และเวียดนาม ทำให้มีอาวุธสู้รบครั้งนั้นถูกนำซุกซ่อนไว้มากมายมหาศาล และเริ่มทยอยนำออกขายให้กลุ่มขบวนการค้าอาวุธ ส่งต่อให้ชนกลุ่มน้อย ฝั่งด้านตะวันตก
...มีการสั่งซื้อผ่านนายหน้า ผู้มีสายสัมพันธ์ในกัมพูชาและชนกลุ่มน้อย นับรวมไปถึงผู้มีอิทธิพลในประเทศไทย ใช้ในการเปิดเส้นทางลำเลียงขนอาวุธผ่าน หรือพักสินค้ารอส่งให้ลูกค้า บางครั้งก็ไม่สามารถหลุดรอดสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร สามารถสกัด...ตรวจยึดอาวุธสงครามนี้มาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
อดีตหน่วยข่าวกรองทางทหาร ให้ข้อมูลว่า การลักลอบซื้อขายอาวุธสงครามตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ในพื้นที่จังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี พบว่า มีนายหน้าค้าอาวุธสงครามเคลื่อนไหวลักลอบซื้อขายกับกลุ่มพ่อค้าชาวกัมพูชาอยู่เป็นระยะ
เพราะในประเทศกัมพูชามีอาวุธสงครามมากมาย สาเหตุจากเกิดสงครามสู้รบครั้งใหญ่ 2 ครั้ง ในปี 2513-2518 สงครามกลางเมืองเขมร 3 ฝ่าย หรือสงครามกลางเมืองกัมพูชา ความขัดแย้งระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือเขมรแดง เวียดนามเหนือ
ส่วนอีกฝ่าย คือ เวียดกงร่วมมือกับรัฐบาลเขมร ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และอีกฝ่าย เวียดนามใต้ ก่อนที่ฝ่ายรัฐบาลเขมรพ่ายแพ้เขมรแดง ได้ประกาศจัดตั้งกัมพูชาประชาธิปไตยในเวลาต่อมา
“กระทั่งปี 2518 เกิดสงครามเขมรแดง และเวียดนามเหนือ เพราะเขมรแดง เกิดระแวงเวียดนาม ตั้งสหพันธ์อินโดจีน ทำให้กวาดล้างกำลังพลฝึกจากเวียดนาม ต่อมา...เวียดนามตัดสินใจล้มล้างเขมรแดง ก่อนจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาที่นิยมเวียดนาม แต่ก็มีกลุ่มต่อต้านติดอาวุธ ออกมาสู้รบตลอด”
...
และ...สิ้นสุดสงครามลงทั้งหมดในปี 2534
อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองคนเดิมย้ำว่า การสู้รบในประเทศมายาวนาน 21 ปี มีอาวุธสงคราม ได้รับการสนับสนุน ทั้งสหรัฐอเมริกา เวียดนาม รวมถึงประเทศจีน หลงเหลือ ถูกเก็บซุกซ่อน หรือทิ้งไว้ตามป่า มากมายมหาศาล...แทบทุกหัวระแหง โดยเฉพาะฝ่ายที่แพ้สงคราม
หนำซ้ำ...กองกำลังทหารหน่วยใด แตกทัพก็นำมาขายให้คนไทยอาศัยตามแนวชายแดนยุคนั้นด้วย
นับจากสิ้นสุดสงครามเขมร ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็น “ตลาดมืด” ให้ขบวนการซื้อขายอาวุธสงคราม เกลื่อนเต็มไปหมด จนถึงทุกวันนี้
ทว่า...อาวุธสงครามที่มีการซื้อขายกัน ส่วนใหญ่เป็นอาวุธของฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม หรือของฝ่ายเขมรแดง ตามที่ถูกซุกซ่อนเก็บไว้ในโกดังหลายแห่ง มักเป็นปืนอาก้า เอ็ม 79 และอาร์พีจี เพราะเป็นปืนประจำกายของกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือเขมรแดง
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วง 10-20 ปีก่อนหน้านี้ ขบวนการค้าอาวุธสงครามมีการเคลื่อนไหวติดต่อซื้อขายกับนายหน้าฝั่งกัมพูชา ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และลำเลียงอาวุธสงครามเพิ่มขึ้น
ซึ่งขบวนการค้าขายอาวุธสงครามพวกนี้ มีโครงข่ายเชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพล มีการสั่งซื้อติดต่อผ่านนายหน้าคนกลาง คาดว่าน่าจะเป็นคนไทยที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มพ่อค้าอาวุธ หรือทหารในฝั่งกัมพูชา
เส้นทางนิยมขนอาวุธกันมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการซุกซ่อนตามพุ่มไม้ และเคลื่อนย้ายตามเส้นทางธรรมชาติ ใช้ผู้ชำนาญเส้นทางขนผ่านแดนบางครั้งก็มีการซุกซ่อนในช่องตัวรถยนต์ที่ทำดัดแปลงเป็นพิเศษเฉพาะ
ทั้งยังมีวิธีใช้ชาวบ้านทยอยขนย้าย อาศัยซุกซ่อนมากับสินค้าเกษตรผ่านช่องทางด่วนตรวจถาวร หลบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เข้ามายังพื้นที่ในประเทศไทย เพื่อเป็นพื้นที่ลำเลียงผ่าน และซุกซ่อนพักสินค้าชั่วคราว...จากนั้นกลุ่มขบวนการจะใช้รถยนต์ลักลอบขนกันตามเส้นทางสายรอง ออกจากแนวชายแดน มุ่งเคลื่อนย้ายส่งให้ลูกค้าฝั่งด้านตะวันตก โดยเฉพาะกลุ่มกองกำลังชนกลุ่มน้อย 7-8 กลุ่ม บางกลุ่มยังมีการสู้รบกับรัฐบาลพม่า ทำให้มีความต้องการอาวุธสงครามเป็นจำนวนมาก
ต้องย้ำว่า...ในการลำเลียงแต่ละครั้ง ใช้เวลานานนับเดือน เพราะต้องหยุดพักสินค้าตามเส้นทางอยู่เป็นระยะ จะไม่ขนย้ายข้ามหลายจังหวัด และมีคนทำหน้าที่สำรวจเส้นทางล่วงหน้า รวมถึงติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ไทยตลอด
เมื่อมีโอกาสเส้นทางปลอดภัยจะลำเลียงจากจุดหนึ่งไปพักอีกจุดหนึ่ง ซึ่งไม่ลำเลียงขนย้ายแบบเสร็จสิ้นถึงที่หมายภายใน 1-2 วัน เพราะเสี่ยงถูกตรวจสอบจับกุม
ทว่า...อาวุธที่ชนกลุ่มน้อยต้องการและมีสั่งซื้อกันมาก มักเป็นอาวุธสงครามหนัก ทำลายล้าง เช่น ปืนอาก้า และปืน M 16 เอ็ม 79 จรวดอาร์พีจี เพราะสามารถแยกชิ้นส่วนเคลื่อนย้ายง่าย และมีอานุภาพทำลายล้างสูง เพื่อนำไปจัดตั้งกองกำลังปกป้องตนเอง ไม่ให้ถูกรุกรานจากกลุ่มอื่น
ดังนั้น “อาวุธสงคราม” ที่มีการลักลอบขนผ่านเข้ามาในประเทศไทย และเจ้าหน้าที่รัฐจับกุมยึดของกลางได้นั้น มักเป็นปืนประเภทปืนอาก้าและปืน M 16 เอ็ม 79 จรวดอาร์พีจี
ประเด็นสำคัญมีว่า...เส้นทางนี้ยังคงเป็นที่นิยมเพราะชนกลุ่มน้อยจะสั่งซื้ออาวุธจากประเทศใกล้เคียงไม่ได้ เช่น ประเทศจีน หรือประเทศลาว เพราะมีฐานะเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่า ที่ไม่ใช่ฐานะเป็นรัฐ หาก 2 ประเทศขายอาวุธให้กับชนกลุ่มน้อยอาจเป็นการส่งเสริมอาวุธให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพม่าก็ได้
และถูกนานาชาติโจมตี กล่าวหาว่าสนับสนุนฝ่ายกบฏ...
ที่สำคัญ “อาวุธ” ที่มาจากเขมร ถือว่าเป็นอาวุธปืนมีคุณภาพพร้อมใช้งาน และราคาถูก แม้ว่าไม่เคยมีสงครามเกิดขึ้นหลายสิบปีแล้ว แต่มีการเก็บรักษาอย่างดี สามารถนำมาใช้งานได้ปกติ เช่น หัวจรวดอาร์พีจี มีองค์ประกอบคือหัวจรวดอยู่ได้นานหลายสิบปี มีเพียงแค่...“ดินส่งหัวจรวด” มีอายุใช้งาน 5-7 ปี แต่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้...ถ้าสนิมไม่เกาะกิน อาวุธก็ยังคงสภาพ พร้อมใช้งานได้ตามปกติ
...
อดีตหน่วยข่าวกรองทางทหาร ให้ข้อมูลอีกว่า ที่ผ่านมาในประเทศไทย ยังไม่พบรายงานว่ามีการนำอาวุธสงครามจากชายแดนไทย-กัมพูชา มาใช้สนับสนุนองค์กร หรือกลุ่มเสื้อสีใด สังเกตจากการก่อเหตุแต่ละครั้ง ยังไม่มีการใช้อาวุธสงคราม ประเภทอาร์พีจี หรืออาก้า ในพื้นที่ใดทั้งสิ้น
มองอีกด้านได้ว่า อาจเป็นเรื่องการกล่าวโทษ หรือกล่าวหากันหรือไม่ เพราะเรื่องนี้สร้างกันขึ้นเองได้ไม่ยาก ตามหลักขบวนการค้าอาวุธสงคราม มีเป้าหมายค้าอาวุธเป็นหลัก มักไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางด้านการเมืองอยู่แล้ว
“แม้แต่การลำเลียงส่งอาวุธสงครามสนับสนุนในการก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องนี้ก็ไม่น่าห่วง เพราะเคยทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 8 ปี ยังไม่พบว่า มีการซื้อขายอาวุธสงครามฝั่งชายแดนกัมพูชา ส่งสนับสนุนกลุ่มก่อความไม่สงบของบีอาร์เอ็น หรืออาร์เคเค”
กระนั้นก็ดี “หน่วยงานการข่าว”...มีการทำงานกันอย่างหนักเพื่อไม่ให้ขบวนการนี้ใช้ประเทศ ไทยเป็นทางผ่านอำนวยความสะดวก ในการกระทำความผิดกฎหมาย
สามารถติดตามตรวจค้นจับกุม ตรวจยึดอาวุธสงคราม พร้อมกับผู้กระทำความผิดได้อยู่ตลอด แต่ยอมรับว่าบางครั้ง...การข่าวก็เกิดการรั่วไหล หรือเกิดการผิดพลาด ทำให้กลุ่มลักลอบค้าอาวุธไหวตัวทัน มักนำสินค้าทิ้ง หรือซุกซ่อนระหว่างทางของการลำเลียงขนไปยังเป้าหมาย ตามข่าวที่เจ้าหน้าที่รัฐยึดอาวุธสงครามได้บ่อยๆ
เมื่อรู้ “ต้นทาง”...และ “ปลายทาง” เช่นนี้แล้ว การสกัดกั้นจับกุม ขบวนการค้าอาวุธสงครามเถื่อนคงไม่ยาก และต้องปราบปรามให้สิ้นซากหมดไป.