สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจ จากกรณีที่มีข่าวว่าเด็กน้อยใจที่ถูกแม่ดุด่าเป็นประจำ จึงแต่งเรื่องบอกคนข้างบ้านว่าถูกแม่กับพ่อเลี้ยงพาไปขายตัว คนข้างบ้านจึงพาเด็กไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ต่อมาแม่ถูกดำเนินคดีในข้อหาค้ามนุษย์ ในชั้นสืบพยานเด็กกลับคำให้การในชั้นศาลว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงการแต่งเรื่องขึ้นมา เนื่องจากน้อยใจที่แม่ดุด่าเป็นประจำ แต่ศาลเชื่อในคำให้การในครั้งแรกของเด็กที่ได้ให้การไว้ต่อหน้าสหวิชาชีพ และพนักงานสอบสวน ศาลจึงพิพากษาจำคุกแม่ เป็นเวลา 50 ปี รวมไปถึงคนที่ถูกกล่าวหาว่าซื้อบริการก็ถูกศาลพิพากษาจำคุกเช่นเดียวกัน

หลังจากนั้น เด็กเขียนจดหมายเข้าไปหาแม่ในเรือนจำ ใจความในจดหมาย เนื้อหาจะเป็นการขอโทษแม่ สารภาพผิดในสิ่งที่สร้างเรื่องขึ้น จึงมีปัญหาสงสัยเกิดขึ้นมากมายว่า เมื่อพยานกลับคำให้การในชั้นศาลแล้ว เหตุใดศาลจึงยังลงโทษแม่อีก

มาถึงจุดนี้ผมเชื่อว่ามีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมายครับ แต่ขอให้ทุกท่านตั้งสติก่อนนะครับ ในโลกใบนี้มีความจริงเพียงหนึ่งเดียว

ผมขอแยกประเด็นสำคัญของนี้ 2 ประเด็นครับ

  • แม่ทำผิดจริง แต่ลูกกลับคำให้การ เพื่อช่วยเหลือแม่
  • แม่ไม่ได้ทำผิดเลย เรื่องทั้งหมดลูกใส่ร้ายแม่

คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำเป็นต้องรอคดีถึงที่สุดก่อน ดังนั้น จึงนำเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ โดยขอนำเรื่องจริงจากประสบการณ์ในการเป็นทนายความของผม เคยพบกรณีที่พยานเบิกความในชั้นศาลขัดแย้งกับคำให้การ ซึ่งให้ไว้กับพนักงานสอบสวนหลายคดี บางคดีศาลก็ลงโทษ บางคดีศาลก็ยกฟ้องจำเลย

การที่พยานเบิกความขัดแย้งกันเอง อาจจะเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น พยานสับสน เพราะคำถามของพนักงานอัยการ หรือถูกทนายจำเลยซักค้านจนมึนงง หรือ พยานจดจำข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนเอง หรือ พยานเบิกความ เพื่อช่วยเหลือจำเลย เพราะเหตุผลบางประการ หรือ พยานรับเงิน เพื่อเบิกความช่วยเหลือจำเลย ฯลฯ

...

กรณีแบบนี้ ศาลมักจะให้น้ำหนักกับคำให้การของพยานที่เคยให้ไว้กับพนักงานสอบสวนตั้งแต่ครั้งแรก เนื่องจากวันที่เกิดเหตุกับวันที่พยานไปให้การในครั้งแรกนั้น ห่างกันไม่มาก เชื่อว่าพยานสามารถจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า จึงน่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ปราศจากการปรุงแต่ง และพยานได้อ่านคำให้การก่อนที่จะลงลายมือชื่อ คำให้การในชั้นพนักงานสอบสวนจึงมีน้ำหนักมากกว่าคำเบิกความในชั้นศาล

ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานที่เบิกความในลักษณะนี้ จะต้องรับฟังอย่างระมัดระวัง และจะต้องรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนคดีส่วนอื่นประกอบด้วย เมื่อข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานปากนี้เจือสมกันกับพยานหลักฐานในส่วนอื่น โดยปราศจากข้อสงสัย ศาลจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลย เทียบเคียงคำพิพากษาที่ 893/2558

ส่วนพยานเบิกความในชั้นศาลขัดแย้งกับคำให้การที่ให้ไว้กับพนักงานสอบสวน แต่กลับไม่มีพยานหลักฐานอย่างอื่นมาสนับสนุน เพื่อจะพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง หรือพยานหลักฐานอื่นนั้นมีพิรุธ ศาลมักจะยกประโยชน์ให้แก่จำเลยด้วยการพิพากษายกฟ้อง

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ จดหมายที่ลูกเขียนบรรยายข้อมูลต่างๆ ไปถึงแม่ในเรือนจำนั้น จะนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้หรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่าหลักฐานดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว กรณีจึงมิใช่พยานหลักฐานที่มีอยู่ในขณะเกิดเหตุ อันมีลักษณะเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบ ซึ่งสามารถจะนำมาใช้ในการรื้อฟื้นคดีได้ แต่อย่างไรก็ตามจดหมายฉบับดังกล่าว สามารถที่จะนำไปเป็นเอกสารประกอบอุทธรณ์ได้ ส่วนศาลอุทธรณ์จะรับฟังหรือไม่ เพียงใด เป็นดุลยพินิจของศาลอุทธรณ์ครับ

สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ หรือ Facebook: ทนายเจมส์ LK