การประชุม Thailand Rice Convention 2019 จัดโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เน้นเรื่องของการต่อยอดนวัตกรรมข้าวเพื่อให้ได้ราคา ฉะนั้น หัวข้อที่น่าจับตาเลยเป็น “การเจาะตลาดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวไทยในตลาดโลก”

ทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกัน จะมามัวแต่ขายข้าวเป็น กก. หรือตัน ที่ต้องเผชิญมรสุมความผันผวนเรื่องราคาอย่างไม่จบสิ้น คงทำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเอามาแปรรูปเพิ่มมูลค่า ข้าวจาก กก.ละ 30 บาท ราคาอาจพุ่งไปถึง กก.ละ 30,000 บาทได้

เพราะโอกาสในเรื่องของนวัตกรรมข้าวยังเปิดกว้าง จากมูลค่านวัตกรรมการเกษตรทั้งหมดปีละ 17,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราเติบโตปีละ 1.7%...แต่ในจำนวนนี้ มีนวัตกรรมจากข้าวมูลค่าแค่ 350 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง

ยิ่งในยามซีกโลก ตะวันตก เปิดใจบริโภคข้าวมากขึ้น ยิ่งเป็นโอกาสทองของนวัตกรรมจากข้าว

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ข้าวสี เหมาะกับการนำไปแปรรูปที่สุด เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และเป็นที่ต้องการของต่างประเทศอยู่แล้ว

ขณะที่ ข้าวออร์แกนิก แม้ตลาดยังต้องการไม่อั้น แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข พิสูจน์ให้ได้ว่าอินทรีย์แท้หรือเทียม เขาถึงจะยอมรับ

ส่วน ข้าวกล้อง ด้วยความที่มีโภชนาการสูง ทิศทางจึงยังดีอยู่มาก มีพัฒนาการที่ดี ทั้งในแง่การแปรรูป และเสียงตอบรับจากผู้บริโภค

นวัตกรรมในกลุ่มเครื่องสำอาง ดูเหมือนจะมีช่องทางมากที่สุด เพราะใช้กับร่างกายแล้วเห็นผลไม่นาน รองลงมา นวัตกรรมเกี่ยวกับยา แต่ทั้งสองอย่างต้องมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจน มีเอกสาร หลักฐานครบถ้วน เพื่อความเชื่อมั่น ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆใช่ว่าจะทำตลาดไม่ได้ แต่อาจจะต้องค่อยๆเดินไป

เหนือสิ่งอื่นใด การทำตลาดไม่ว่าในหรือต่างประเทศ ควรศึกษา รสนิยม วัฒนธรรม ความเชื่อ ของแต่ละพื้นที่ด้วย แล้วนำมาประยุกต์ เขาถึงจะบริโภคของของเราได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ.

...

สะ–เล–เต