มีคำกล่าวอยู่ว่า “เราไม่ได้เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ แต่ประวัติศาสตร์ต่างหากที่สร้างเราขึ้นมา” ฟังแล้วก็ชวนให้ครุ่นคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นจริงเช่นนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบัน หากมองลงไปให้ลึกซึ้งมันก็คือผลลัพธ์ของประวัติศาสตร์ที่ถูกส่งต่อผ่านวันเวลามาถึงทุกวันนี้

เช่นเดียวกันกับ “ประเทศไทย” ของเราที่เมื่อครั้งอดีตเคยถูกเรียกว่า “แผ่นดินสยาม” นี้ ก็มีประวัติศาสตร์มากมายกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจ ชวนให้เราได้เข้าไปสัมผัสและเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับวิถีชีวิตบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์สยามในฐานะบริเวณที่เกี่ยวพันกับการก่อตั้งราชธานีในอดีต ตั้งแต่กรุงธนบุรี สืบเนื่องมาถึง กรุงรัตนโกสินทร์ ดังนั้น แม่น้ำเส้นหลักที่เป็นเหมือนหัวใจของประเทศไทยสายนี้ จึงได้เป็นจุดกำเนิดของ “ตำนาน” มากมายที่รอคอยให้คนยุคปัจจุบันเช่นเราเข้าไปค้นพบ

ในโอกาสนี้ จึงถือได้ว่าน่าสนใจอย่างยิ่งที่ทาง “ICONSIAM” ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตำนานของริมแม่น้ำเจ้าพระยาทุกวันนี้ ได้ริเริ่มโครงการที่จะพาเราไปร่วมตระหนักถึงความสำคัญในการร่วมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม พร้อมร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทยอันดีงามที่อยู่เคียงคู่กับวิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยามาช้านาน เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน จึงได้จัดกิจกรรม “Legend of The Chaopraya River: A Way of Thainess” ล่องเรือท่องเที่ยวย้อนรอยเส้นทางสายน้ำประวัติศาสตร์ ความรุ่งเรืองแห่งสยามจากศรีรัตนโกสินทร์ สู่ธนบุรีศรีมหาสมุทร พาลูกค้าคนสำคัญของไอคอนสยาม เดินทางล่องเรือชมตำนานสถานที่สำคัญริมสายน้ำเจ้าพระยา ทั้งไหว้พระขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลิ้มลองอาหารและขนมโบราณ และที่น่าประทับใจที่สุด คือการพาไปเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนอันเป็นเสน่ห์ที่งดงามก้าวข้ามกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมและประเพณี อันเป็นเอกลักษณ์ของผู้คนในสยามประเทศเมื่อครั้งอดีต

ในทริปนี้ เริ่มออกตัวกันตั้งแต่ช่วง 8 โมงเช้า มีจุดสตาร์ตอยู่ที่ไอคอนสยาม ล่องเรือขึ้นทิศเหนือไปชมตำนานอย่างแรก “Legend of The Great King” เพื่อซึมซับถึงความยิ่งใหญ่ของตำนานมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ด้วยการแวะสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ณ พระราชวังเดิม บริเวณนี้อดีตคือพระราชวังแห่งกรุงธนบุรี สถานที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสิน เป็นสถานที่สำคัญยิ่ง ภายหลังจึงได้สร้างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินขึ้น โดยภายในศาลประดิษฐานรูปหล่อ และพระบรมสาทิสสลักษณ์ของพระองค์ รวมทั้งพระบรมรูปในท่าประทับยืน และทรงพระแสงดาบขนาดเท่าคนจริง อีกทั้งด้านหน้าพระราชวังเดิม ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็มีพระราชานุสาวรีย์ของพระองค์ในท่าประทับยืน หันหน้าไปทางทิศที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยา มือซ้ายถือพระแสงดาบ ส่วนมือขวาชี้ลงพื้นดิน

จากนั้นก็ได้ล่องเรือต่อไปยังบริเวณที่กล่าวได้ว่าเป็น “Legend of Trading” หรือตำนานการค้าของสยามด้วยเส้นทางเรือ ในส่วนนี้จะมีหลวงพ่อโตซำปอกงแห่งวัดกัลยาณมิตรให้เราเข้าสักการะ หลวงพ่อโตซำปอกง มีชื่อเรียกแบบทางการว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก” ในราว พ.ศ.2380 รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้จำลองจากวัดพนัญเชิง อยุธยา อายุการสร้างห่างจากองค์แรกถึง 513 ปี มีขนาดหน้าตักกว้าง 11.75 เมตร สูง 15.44 เมตร ซึ่งจะเล็กกว่าองค์แรกประมาณเกือบครึ่ง โดยหลวงพ่อโตองค์นี้ จะเป็นควาเชื่อตามแบบจีนพุทธ ที่สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไว้ริมน้ำ เมื่อต้องออกเรือไปค้าขายก็จะได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญกำลังใจให้กับลูกเรือ ซึ่งวัดกัลยาณมิตร คือ ประตูการค้าทางทะเลในยุครัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ยุคแห่งความรุ่งเรืองทางการค้าทางทะเลของสยาม กลายเป็นตำนานซำปอกง

 

จากนั้นคณะก็ได้เดินผ่านเส้นทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาไปสักการะเจ้าแม่กวนอิม ณ ศาลเจ้าเกียนอันเก็ง เป็นศาลเจ้าจีนเก่าแก่ของชุมชนกุฎีจีน ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกสร้างขึ้นโดยชาวจีนฮกเกี้ยนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เดิมศาลเจ้าแห่งนี้มีจำนวน 2 หลังซึ่งติดกัน คือ “ศาลเจ้าโจวซือกง” และ “ศาลเจ้ากวนอู” จนในเวลาต่อมาศาลเจ้าก็ทรุดโทรมลงมาก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีชาวฮกเกี้ยนกลุ่มหนึ่งเข้ามารื้อศาลทั้ง 2 แห่งลง แล้วสร้างใหม่ขึ้นเพียงหลังเดียวก็คือศาลเจ้าในปัจจุบัน ที่ ณ ตอนนี้ก็ยังคงถูกบูรณะปรับปรุงอยู่เสมอโดยกรมศิลป์ฯ ในฐานะศาลเจ้าแห่งประวัติศาสตร์ที่มีร่องรอยศิลปะและอารยธรรมเก่าแก่อยู่อย่างสมบูรณ์ เช่น ในส่วนของศิลปะการสร้างช่องหน้าต่าง และงานศิลป์ด้านในกำแพงศาลเจ้า

อีกหนึ่งตำนานที่ลึกซึ้งน่าสนใจและเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมไทยอย่างมากคือ ตำนานย่านเก่ากุฎีจีน หรือ “Legend of International Communities” ซึ่งในบริเวณนี้มีเรื่องราวของชุมชนกุฎีจีน (หรือ “กะดีจีน”) ชุมชนชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่สืบเชื้อสายมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งพ่อค้าชาวโปตุเกสเข้ามาทำการค้าขายกับสยามเป็นครั้งแรก ชุมชนกุฎีจีน เป็นชุมชนเก่าแก่ของฝั่งธนบุรีที่ยังคงเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมไว้อย่างครบถ้วน ที่นี่เป็นต้นกำเนิดของสำรับคาว-หวานในแบบสยาม-โปรตุเกส รายล้อมไปด้วยบรรยากาศแห่งประวัติศาสตร์ที่อบอวลไปทั่วทั้งย่านรวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ที่ไม่ควรพลาดทั้ง โบสถ์ซางตาครู้ส บ้านโบราณจันทนภาพ และพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน ที่เก็บรวบรวมความเป็นมาอันเก่าแก่ของชุมชนชาวสยาม-โปรตุเกส ตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงปัจจุบัน เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา ศาสนา และรากเหง้าของชาวกุฎีจีน รวมถึงที่พลาดไม่ได้ คือการไปลิ้มรสชาติของ ขนมฝรั่งกุฎีจีน ที่รับประกันความอร่อยและสามารถหาทานได้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้

เที่ยวกันมาสักพัก น้ำย่อยก็เริ่มทำงาน ถึงเวลาพระอาทิตย์ตรงหัวแบบนี้ก็ได้เวลาเดินทางไปสัมผัสกับตำนานอาหารโบราณแห่งย่านตลาดพลู ได้ลิ้มลองหมี่กรอบจีนหลี สูตรลับจากสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ร้านเต็กเฮง ร้านหมี่กรอบสูตรดั้งเดิมจากจีนไหหลำที่เปิดกิจการมานานกว่า 130 ปีแล้ว ปัจจุบันสืบทอดกันมาถึง 4 รุ่น โดยเมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 เสด็จฯมาตามคลองบางหลวงและมาถึงตลาดพลู ได้เสวยหมี่กรอบของที่นี่หลังจากที่กลิ่นหอมไปแตะจมูก และทรงโปรดเป็นอย่างมาก จึงพระราชทานชื่อว่า “หมี่กรอบเสวยสวรรค์” แต่ต่อมาถูกเรียกสั้นๆ ว่า “หมี่กรอบ ร.5” ด้านรสชาติถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนหมี่กรอบทั่วไป หาทานที่อื่นไม่ได้ อยากรู้เป็นอย่างไรต้องมาลองที่นี่เท่านั้น

หลังจากรับประทานหมี่กรอบและเดินเที่ยวย่านตลาดพลูกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังจุดที่เป็นตำนานแห่งเสน่ห์สยาม “Legend of Thainess” เดินทางล่องเรือลัดเลาะสู่ชุมชมริมคลองบางหลวง ชมทิวทัศน์สองฝั่งคลองที่มีตำนานอยู่ทั้งสองฝากฝั่ง และเข้าไปชมการแสดงนาฏศิลป์ชั้นครูของชาวสยาม “หุ่นละครเล็ก” ณ บ้านศิลปิน แหล่งรวมงานศิลป์ทรงคุณค่าที่ควรไปเยี่ยมเยียนสักครั้งในชีวิต ซึ่งแต่เดิม บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าของตระกูลรักสำรวจ ตระกูลช่างทองเก่าแก่ ซึ่งทายาทรุ่นสุดท้ายได้ขายบ้านหลังนี้ให้กับ ชุมพล อักพันธานนท์ เพื่อปรับปรุงให้เป็นสถานที่แสดงงานนาฏศิลป์ เป็นที่รวมตัวของกลุ่มศิลปินที่รักงานศิลปะไทยทุกแขนงไม่ว่าจะรุ่นไหน เพื่อเป็นการสนับสนุน สืบทอด และส่งต่อศิลปะการแสดงของไทยให้ยืนยาวต่อไป โดยเอกลักษณ์ของบ้านศิลปินแห่งนี้จะเป็นเรืยนไม้ทั้งหลัง และที่โดดเด่นอย่างมากคือมีเจดีย์อยู่กลางบ้าน เป็นฉากหลังที่งดงามราวงานศิลป์ชั้นดีให้กับการแสดงหุ่นละครเล็กที่มีการโชว์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีทุกวัน (เวลา 14.00 น.) หากใครเคยคิดว่าการแสดงลักษณะนี้จะดูตกยุคไปแล้ว อยากให้ลองมาเยี่ยมชมที่นี่สักครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าศิลปวัฒนธรรมแบบไทยแท้ๆ เช่นนี้ ก็สามารถปรับให้ร่วมยุคร่วมสมัย ถูกใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เช่นกัน

จากนั้น มุ่งหน้าสู่วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร หรือ “วัดเจ้าขรัวหง” สถานที่ซึ่งมีตำนานแห่งความรักต้องห้ามอันยิ่งใหญ่ “Legend of Love” เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเศรษฐีชาวจีนชื่อ นายหง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ได้กำหนดเขตพระฐานขึ้น วัดหงส์ จึงเป็นวัดที่ติดกับพระบรมราชวัง ใน พ.ศ.2319 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาขยายพระอารามให้ใหญ่โตขึ้น ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ ศาลาการเปรียญ และกุฏิเสนาสนะทั้งวัด และทรงยกย่องให้เป็นพระอารามหลวงสำคัญ พร้อมถวายสร้อยนามวัดอย่างเป็นทางการว่า “วัดหงส์อาวาสวิหาร” และที่วัดแห่งนี้มีเรื่องราวความรักระหว่างเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศวรสุนทรกับเจ้าฟ้าบุญรอด เป็นตำนานความรักต้องห้าม ณ บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของโรงแพ ใกล้คลองบางหลวง

หลังจากได้เยี่ยมชมชุมชนวัฒนธรรมแบบไทย จีน และโปรตุเกสไปแล้ว สุดท้ายคณะก็ได้เดินทางไปยังมัสยิดสุวรรณภูมิเพื่อเยี่ยมชมชุมชนชาวมุสลิม มัสยิดแห่งนี้เป็นศาสนสถานของชาวมุสลิมสายซุนนะห์หรือสุหนี่ สร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษชาวมุสลิมที่อพยพเข้ามาประกอบกิจการค้าขายจากพระนครศรีอยุธยา และภาคตะวันออก โดยการนำของ ขุนรามฤทธิไกร ภายในมัสยิดมีห้องละหมาดสำหรับประกอบศาสนกิจประจำวันของชาวมุสลิมและมีมิรบัร (ที่สำหรับแสดงธรรม) เมียะหรอบ (ชุมทิศ-สำหรับอิหม่ามนำละหมาด) ซึ่งเป็นงานไม้แกะสลักฝีมือประณีตอย่างมาก พร้อมชิมขนม และอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวมุสลิมในชุมชน

หลังจากเที่ยวชมตำนานที่ยังคงมีลมหายใจเลียบสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาตลอดวัน สุดท้ายพวกเราก็ได้เดินทางกลับมายังไอคอนสยาม อีกหนึ่งตำนานแลนด์มาร์คแห่งล่าสุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยในช่วงเวลาที่กลับมาถึงก็เป็นช่วงแดดร่มลมตกพอดี ประจวบเหมาะกับที่ได้เวลาของการโชว์ “ระบำสายน้ำ” ประกอบแสงสีเสียงสุดตระการตาจาก ICONIC Multimedia Water Features (ไอคอนิค มัลติมีเดีย วอเตอร์ ฟีเจอร์) น้ำพุที่ยาวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการต้อนรับเรากลับสู่ไอคอนสยามที่สมบูรณ์แบบสมกับเป็น “Legend of Siam” อย่างแท้จริง

สุดท้ายเรายังได้ปิดการเดินทางครั้งนี้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการได้พบกับ “สุขสยาม” หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของไอคอนสยาม พื้นที่นำเสนอมหัศจรรย์วิถีไทย มรดกทางวัฒนธรรมของทั้งสี่ภูมิภาคหลักของประเทศ ทั้งอาหาร งานศิลปะ หัตถกรรมงานฝีมือ เวชศาสตร์ การแสดง การละเล่นพื้นบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่น ประกอบไปด้วยร้านค้าและบริการหลากหลายกว่า 3,000 ผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งล้วนมีเอกลักษณ์และมีชื่อเสียงจากท้องถิ่นต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ นำเสนอในบรรยากาศแวดล้อมที่สะท้อนรูปแบบวิถีชีวิตพื้นบ้านอันงดงาม และยังช่วยให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นนำเสนอสินค้าได้ตลอด 365 วัน ทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภันฑ์ให้เกษตรกรและชาวบ้านอีกด้วย

กล่าวได้ว่า แม้จะใช้เวลาแค่เพียง 1 วัน แต่การได้ล่องเรือชมวัฒนธรรมริมแม่น้ำเจ้าพระเจ้าครั้งนี้ก็เปิดประสบการณ์ให้กับผู้มาเยือนได้อย่างคาดไม่ถึง ครบถ้วนทั้ง ศิลปะ ประเพณี วิถีชีวิต ความอิ่มอร่อยและความสิริมงคล จวบจนความยิ่งใหญ่อลังการของไอคอนสยาม และเชื่อได้ว่า ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ ยังคงมีความงดงามและมนตร์เสน่ห์อีกมากมายรอคอยให้เราเข้าไปสัมผัสและหลงรักอย่างแน่นอน