ผลกระทบจากบุหรี่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพปอดของมนุษย์ ตั้งแต่โรคมะเร็งไปจนถึงโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และสิ่งที่น่าหวั่นใจคือ ผลร้ายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเพียงผู้สูบ แต่ยังรวมถึงผู้ใกล้ชิดที่สูดดมควันบุหรี่ที่นิยามว่าเป็น ‘ควันบุหรี่มือสอง’ หรือแม้แต่ ‘ควันบุหรี่มือสาม’ ที่เกิดจากการทิ้งสารพิษคงค้างไว้ในสิ่งแวดล้อมภายในห้องพัก เสื้อผ้า จนถึงร่างกายของผู้สูบ ที่ส่งผลกระทบชัดเจนต่อเด็กเล็ก และผู้ที่ร่างกายไวต่อสารพิษ บุหรี่จึงเป็นภัยต่อทุกคนในสังคม การหยุดสูบบุหรี่ได้จึงไม่ใช่เพียงแค่ หยุดเผาปอดของผู้สูบเองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงปอดของอีกหลายชีวิตในสังคมเดียวกันด้วย

รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยโรคลมหายใจ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในฐานะประธานที่ปรึกษาชมรม ‘ลมวิเศษ’ กรรมการเครือข่ายวิชาชีพแพทย์ในการควบคุมการบริโภคยาสูบและผู้แทนสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวในการเสวนาในงาน Tobacco Burn Your Lungs ‘บุหรี่เผาปอด’ โดยมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ร่วมกับองค์การอนามัยโลก ประเทศไทย และภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของ 4 โรคร้ายทำลายปอด นั่นคือ ภูมิแพ้ วัณโรค ถุงลมโป่งพอง และมะเร็งปอด การสูบบุหรี่จึงไม่ต่างอะไรกับการเผาปอด

“คำว่า บุหรี่เผาปอด นั้น ขยายภาพได้ชัดเจนมากเมื่อใครสักคนสูบบุหรี่ ไม่ใช่เพียงแค่จากบุหรี่ธรรมดา แต่ยังรวมถึงบุหรี่ที่อยู่ในรูปแบบของบุหรี่ไฟฟ้าด้วย เมื่อคุณสูบบุหรี่จะมีผลกระทบต่อร่างกาย โดยเริ่มตั้งแต่ระบบการหายใจส่วนต้น หลอดลม ไปจนถึงถุงลมปอด ทุกครั้งที่จุดบุหรี่ ทั้งที่เป็นบุหรี่ดั้งเดิม หรือบุหรี่ไฟฟ้า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความร้อน และสารพิษ ในบุหรี่ดั้งเดิมนั้น ความร้อนที่ผ่านเข้าไปที่หลอดลมจนถึงถุงลมของผู้สูบ มีสูงถึง 600 องศาเซลเซียส เทียบได้กับ 6 เท่าของอุณหภูมิของน้ำเดือด ความร้อนระดับนี้สามารถเผาทำลายเซลล์ได้ ตั้งแต่เยื่อบุลมหายใจ จากบริเวณหลอดลม จนถึงเซลล์เยื่อบุผนังถุงลม โดยเฉพาะเซลล์เยื่อบุผนังถุงลมภายในปอด ที่ผนังของถุงลมแต่ละใบภายในปวดจะยึดโยงกันอยู่ ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ผนังของถุงลมอันใดอันหนึ่งฉีกขาดหรือถูกทำลายโดยความร้อน ก็จะส่งผลให้เครือข่ายของถุงลมถูกทำลายลงมากขึ้นเรื่อยๆ โรคถุงลมโป่งพองในผู้ที่สูบบุหรี่จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้เอง”

นอกจากความร้อนแล้ว สารพิษต่างๆ ในบุหรี่ก็ยังเข้าสู่ร่างกายและทำลายระบบต่างๆ ภายในโดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ จนส่งผลต่อการเกิดโรคต่างๆ ตามมาอีกมากมาย ซึ่ง รศ.นพ.สุทัศน์ ให้ข้อมูลว่าสารพิษในบุหรี่แต่ละมวนนั้นมีกว่า 7,000 ชนิดแตกต่างกัน โดยในจำนวนนั้นมีถึง 60 ชนิดที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็ง “เมื่อสารเคมีต่างๆ ผสมกับความร้อนเข้าไปในร่างกายก็จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ตั้งแต่โพรงจมูก หลอดลม หรือแม้แต่เนื้อปอด นั่นคือถุงลมขนาดเล็กๆ การอักเสบก็จะส่งผลแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าส่วนนั้นๆ ทำหน้าที่ใด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดการอักเสบที่โพรงจมูกก็จะทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นคนแพ้อากาศได้ง่ายมาก โดยมีหลักฐานชัดเจนว่าทำให้เกิดภูมิแพ้และโรคหอบหืดมากขึ้น และหากสารพิษเหล่านี้ไม่ได้เกิดการอักเสบอยู่ที่เพียงแค่โพรงจมูก แต่ต่อเนื่องไปยังหลอดลม ก็จะส่งผลให้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง สังเกตได้ว่าผู้ที่สูบบุหรี่ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี มักจะเริ่มมีอาการไอเรื้อรัง นอกจากนี้ควันบุหรี่ยังทำลายกลไกในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมซึ่งอยู่ภายในหลอดลมอีกด้วย”

ไม่เพียงแต่กับบุหรี่แบบดั้งเดิมเท่านั้น บุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเริ่มเป็นที่นิยม ทั้งในหมู่นักสูบหน้าใหม่ และหน้าเก่า ก็มีอันตรายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าวว่าต่อให้ความร้อน จากบุหรี่ไฟฟ้าจะลดลงจากบุหรี่แบบดั้งเดิมกว่าครึ่ง แต่ความร้อนในระดับที่มากกว่า 100 องศาเซลเซียสที่เข้าสู่ร่างกายก็สามารถทำลายระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เช่นกัน หนำซ้ำสารพิษในบุหรี่ไฟฟ้ายังมีมากกว่าบุหรี่แบบทั่วไป โดยเฉพาะจากสารทำละลายต่างๆ อาทิ ฟอสฟอริกไกลคอล ที่ใช้ในอุตสาหกรรมหนัก ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ ผลิตสารทำความเย็น ซึ่งเมื่ออยู่ในรูปไอระเหยและเข้าสู่ร่างกายก็จะเป็นอันตรายอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีอันตรายจากสารปรุงแต่งกลิ่น สี และรส ความร้ายแรงเหล่านี้เองทำให้หลายฝ่ายตระหนัก และศึกษาถึงผลกระทบอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยร้ายนี้

จาก ‘ชมรมลมวิเศษ’ ถึง ‘คลินิกฟ้าใส’ อยากให้คุณเลิกบุหรี่

จากการสำรวจตัวเลขผู้สูบบุหรี่ ในปี 2560 ที่ผ่านมาพบว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้สูบบุหรี่มากถึง 10.7 ล้านคน โดยในจำนวนนั้นเป็นเยาวชนถึง 1,471,584 คน และมีอายุเฉลี่ยที่เริ่มติดบุหรี่ คือ 18.14 ปี ส่วนใหญ่ไม่เคยตระหนักว่า การสูบบุหรี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถคร่าชีวิตไปก่อนวัยอันควร รศ.นพ.สุทัศน์ ซึ่งคลุกคลีกับผู้ป่วยถุงลมโป่งพองมายาวนานกล่าวว่า โรคถุงลมโป่งพองเป็นอีกโรคร้ายแรงหนึ่งที่ผู้สูบบุหรี่ต้องเผชิญ และปัจจุบันก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับจำนวนแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญด้านนี้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องรับมือในรูปแบบที่เท่าทัน

“ปัจจุบันมีคนไข้ในกลุ่มนี้ไม่ต่ำกว่าล้านคน ในขณะที่แพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโรคปอดนั้นมีจำนวนไม่มาก และแพทย์ที่มีอยู่ก็อาจมีเวลาในการดูแลคนไข้ในแง่มุมต่างๆ ไม่ได้อย่างเต็มที่ โอกาสในการให้ข้อมูลในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคจึงมีน้อย ด้วยเหตุนี้เราจึงก่อตั้งชมรมลมวิเศษขึ้นมา โดยความร่วมมือของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย และภาคเอกชน อาทิ เครือเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่เห็นปัญหาจากโรคถุงลมโป่งพอง เพื่อวางตัวเป็นกลไกนอกระบบด้านข้อมูลที่แพทย์เฉพาะทางสามารถหยิบไปใช้ได้ นอกจากผลิตสื่อเพื่อให้แพทย์นำไปมอบให้กับคนไข้ ชมรมยังทำหน้าที่ช่วยอบรมผู้นำชุมชนให้ชุมชนดูแลคนไข้เหล่านี้ได้ด้วยตนเองมากขึ้น และปัจจุบันยังได้พัฒนานวัตกรรมเข้ามาใช้กับผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง เรียกว่า กำไลวิเศษ โดยจะมีคิวอาร์โค้ดบรรจุข้อมูลของคนไข้แต่ละราย อาทิ แพทย์ประจำตัว ยาที่ใช้ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถดึงข้อมูลผู้ป่วยมาใช้ได้ทันที รวมถึงทราบตำแหน่งของคนไข้ได้”

แม้แพทย์จะพยายามอย่างเต็มที่ในการรับมือกับผู้ป่วย แต่ รศ.นพ.สุทัศน์ ให้ข้อมูลว่าหนึ่งในขั้นตอนการรักษาที่สำคัญของผู้ป่วยโรคนี้เพื่อการต่อชีวิตก็คือ การเลิกสูบบุหรี่ การเอาชนะบุหรี่ของบุคลากรทางการแพทย์จึงเดินทางเคียงข้างกันมายาวนาน ซึ่ง รศ.นพ.สุทัศน์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ร่วมผลักดันคลินิกของผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ในนาม ‘คลินิกฟ้าใส’ เพื่อเป็นอีกเรี่ยวแรงหนึ่งที่ช่วยให้บุหรี่ห่างไกลจากชีวิตของผู้คนมากขึ้น “คลินิกฟ้าใสพัฒนาจากคลินิกเลิกบุหรี่ที่มีอยู่ในทุกโรงพยาบาล แต่ยังขาดมาตรฐานเดียวกัน สิ่งที่คลินิกฟ้าใส ทำคือการรวบรวมคลินิกทั่วประเทศเข้ามารับการอบรมยกระดับเพื่อบริการให้ได้มาตรฐาน และในคลินิกก็มียาช่วยซึ่งให้บริการฟรี ซึ่งในส่วนนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ที่เห็นถึงความสำคัญของการให้บริการบำบัดเลิกบุหรี่แก่ผู้สูบอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และยังเป็นการอำนวยความสะดวกแก่คนไข้ ปัจจุบันมีคลินิกฟ้าใสมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้ฟรี อนาคตอันใกล้ก็จะเปิดตัวแอปพลิเคชันคลินิกฟ้าใส เพื่อเช็กตำแหน่งที่ตั้งและนัดหมายการเข้ารับบริการได้ทันที”

การต่อสู้กับบุหรี่จึงเป็นความร่วมมือกันของทุกฝ่าย ไม่ใช่เพียงแค่หน่วยงานหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง แต่หมายถึงผู้สูบที่ต้องมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะเลิกบุหรี่ และคนใกล้ชิดที่ต้องเข้าใจและเป็นกำลังใจ เพราะทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพียงเพื่อตัวของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ส่งผลถึงลูกหลานในวันนี้และอนาคตด้วยเช่นกัน