จี้ ลงโทษหนัก เสี่ยขับเบนซ์ ชนรองผกก.กองปราบเสียชีวิต ชี้ ไม่ใช่โทษประมาทแต่เล็งเห็นผลเจตนาฆ่า ด้านเครือข่ายป้องกันภัยน้ำเมา ชงเอาผิดสถานที่ขายเหล้าให้คนเมาขาดสติ

จากกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ เมื่อกลางดึกของวันที่ 11 เม.ย.2562 บนถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตสองราย คือ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล รอง ผกก. (สอบสวน) กองกำกับการ 2 กองปราบปราม และนางนุชนาถ งามสุวิชชากุล ภรรยา อายุ 44 ปี ส่วนนางสาวพิญาภา งามสุวิชชากุล ลูกสาวอายุ 16 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยผู้ก่อเหตุ เป็นนักธุรกิจชื่อดัง คือ นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 57 ปี จากการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์พบว่า มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

วันนี้ (13 เม.ย.) นางรัชฐิรัชฎ์ ซุ่นสั้น ภรรยาดาบตำรวจเหยื่อเมาแล้วขับชนเสียชีวิต 5 ศพ เมื่อปี 2560 ที่จังหวัดตรัง กล่าวว่า เข้าใจความรู้สึกครอบครัวญาติพี่น้องผู้สูญเสีย เพราะตนเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว กรณีนี้น้องที่อาการโคม่าต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ และทราบว่า ยังมีพี่น้องอีกคน ที่เรียนอยู่ต่างประเทศ คงกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง ควรมีนักจิตวิทยาเข้าไปช่วยดูแลเยียวยาทั้งตัวน้อง และคนรอบข้าง และขอภาวนาให้น้องหายโดยเร็ว กลับมามีพลังใจในการใช้ชีวิต ส่วนตัวเชื่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงจะดูแลอย่างเต็มที่เช่นเดียวกับกรณีของตน ส่วนผู้ก่อเหตุ ประชาชนทั้งประเทศกำลังจับตาคดี อยากเห็นการลงโทษเป็นเจตนาทำให้เสียชีวิตไม่ใช่แค่ประมาท เพราะที่ผ่านมา มีแค่ประมาท ปัญหาเมาแล้วขับจึงไม่ลดลง กรณีสามีตนถูกคนเมาแล้วขับชนเสียชีวิต 5 ศพ บาดเจ็บอีกหลายราย ตอนนี้ผู้ก่อเหตุติดคุกเพียง 4 ปี ส่วนการฟ้องแพ่งกับคนขับ ผู้ก่อเหตุและนายจ้างเจ้าของรถ ศาลแพ่งพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว แต่จำเลยอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ซึ่งก็ต้องสู้กันต่อไปเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้อง

...

“เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากทำให้ใครตาย แต่สามัญสำนึกของคนเมาแล้วขับ คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังตั้งใจฆ่าหรือทำให้คนอื่นบาดเจ็บ เสียหาย การกระทำมันบอกชัดเจน เราต้องใช้ยาแรงกันอย่างจริงจังเสียที เพราะมาตรการเดิม แค่ประมาท มันรับมือกับปัญหาเมาไม่ขับไม่ไหว ถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ความผิดฐานเมาแล้วขับคงไม่เพิ่มมากขนาดนี้ ชีวิตทุกชีวิตมีค่าอย่ารอให้สูญเสียขึ้นมาแล้วมาเสียดายทีหลัง และต้องขอบคุณรัฐบาลที่มีนโยบายนี้ออกมา เพราะแม้จะมีกฎหมายอยู่แล้วแต่ถ้าไม่มีความชัดเจนทางนโยบายกฎหมายก็เป็นเพียงเสือกระดาษ แต่ครั้งนี้คงได้เห็น ไม่ว่ายากดีมีจน หรือร่ำรวยมาจากไหน คนผิดเมาแล้วขับต้องโดนลงโทษฐานเจตนาทำให้เสียชีวิตมิใช่ประมาท” นางรัชฐิรัชฎ์ กล่าว

นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งต้องติดตามว่า ผลสิ้นสุดของคดีนี้จะเป็นอย่างไร นโยบายรัฐบาลในการจัดการกับปัญหาเมาแล้วขับ ด้วยการให้เป็นเจตนาเล็งเห็นผลหรือเจตนาทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต มิใช่แค่ประมาทนั้น จะมีผลนำไปสู่การลงโทษอย่างไร ซึ่งหากกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำ คือ พนักงานสอบสวนไปจนถึงอัยการและศาล เห็นไปในทางเดียวกันเชื่อว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อปัญหาเมาแล้วขับ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามข้อมูลของตำรวจพบว่า ผู้ก่อเหตุไปดื่มมาจากสนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง นั่นหมายความว่าสถานที่แห่งนี้มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่มีอาการมึนเมาครองสติไม่ได้ด้วยใช่หรือไม่ เพราะจะเป็นความผิดตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับด้วย จึงไม่อยากให้พนักงานสอบสวนละเลยในจุดนี้ ควรพิสูจน์ไปให้ถึง เพื่อทำให้บรรดาผู้ประกอบการที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีความรับผิดรับชอบจากสินค้าของตัวเองด้วย ซึ่งจะเป็นการยกระดับในภาพรวมของปัญหา มิใช่ให้ผู้ดื่มรับผิดเพียงฝ่ายเดียว คนขายสินค้าที่สร้างผลกระทบขนาดนี้ต้องตระหนักและรับผิดชอบมากกว่านี้ เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งญี่ปุ่นหรืออเมริกา

“นี่ไม่ใช่การออกกฎหมายใหม่ แต่เป็นการนำกฎหมายที่มีอยู่เดิม มาบังคับใช้ในระดับที่เข้มข้นเท่านั้น และเชื่อว่ายังมีอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จึงอยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายไปในทิศทางนี้ และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ละเลย พยายามทำสำนวนให้อ่อน ช่วยเหลือวิ่งเต้น ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต้องโดน 157 ด้วย” นายชูวิทย์ กล่าว...